คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5397/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ทนายจำเลยอ้างว่าจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาตามกฎหมายนั้นเพราะทนายจำเลยหลงลืมนับว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานได้ตามขอและคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้โดยให้เหตุผลประการหนึ่งว่าฮ.ไปดำเนินการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทไม่ตรงตามที่ช.บอกไว้แต่ตามคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยจำเลยอ้างว่าเพื่อจะนำพยานเข้าสืบในประเด็นข้อสำคัญว่าช. มอบอำนาจให้ฮ. ไปโอนที่ดินแทนหรือไม่ซึ่งเป็นเรื่องนอกประเด็นที่จำเลยให้การไว้กรณีจึงไม่มีเหตุผลเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและจำเป็นที่ศาลจะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้องของจำเลยได้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานจึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ประการใดและเมื่อจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามกฎหมายแล้วจำเลยก็ไม่มีสิทธิจะนำพยานเข้าสืบการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว ตามคำฟ้องอุทธรณ์และคำขอท้ายอุทธรณ์ของจำเลยนั้นจำเลยมิได้ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดีเพียงแต่ขอให้จำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบเท่านั้นแม้จำเลยจะใช้ถ้อยคำในคำขอว่าพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เป็นการใช้คำที่ไม่ถูกต้องเท่านั้นไม่ทำให้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายชาย สอนมั่น ได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินรวมกัน โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันว่าจะไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินเมื่อถึงกำหนดโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินที่สำนักงานที่ดิน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่ 21 ไร่ 90 ตารางวาและให้แบ่งแยกสัดส่วนเท่า ๆ กัน หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเดิมมีนายชาย สอนมั่น เป็นผู้มีชื่อทางทะเบียน และมีสิทธิครอบครอง แต่ไม่เคยตกลงแบ่งกัน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยขอให้ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดิน ในขณะที่นายชายยังมีชีวิตอยู่นายชายต้องการแบ่งที่ดินดังกล่าวออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งจะแบ่งให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตร อีกส่วนหนึ่งนายชายต้องการกันเอาไว้ให้ญาติพี่น้องใช้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่นายชายเมื่อนายชายถึงแก่กรรม หากเหลือเท่าใดให้แบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่งซึ่งโจทก์และจำเลยก็ทราบเจตนาของนายชายดีอยู่แล้ว ต่อมานายชายได้ล้มป่วยลง โจทก์ได้ให้นายชายลงชื่อในใบมอบอำนาจให้นางเฮียน โพธิ์ตา ไปจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทโดยบอกว่าจะให้นางเฮียนไปจดทะเบียนการให้ตามที่นายชายบอกไว้จำเลยเชื่อโดยสุจริตคิดว่าโจทก์จะทำการจดทะเบียนการให้ตามที่นายชายเคยบอก จึงได้ไปลงชื่อรับโอนที่ดินดังกล่าว หลังจากที่นายชายถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวคนละ 21 ไร่90 ตารางวา จำเลยเห็นว่าเป็นการขัดต่อเจตนาของนายชายจึงไม่ไปทำการจดทะเบียนแบ่งแยก ขอให้ยกฟ้อง
เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้ว จำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน หลังจากสืบพยานโจทก์ไป 2 นัด จำเลยจึงยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานอ้างว่าทนายจำเลยหลงลืม และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และให้งดสืบพยานจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยดำเนินการแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในชั้นแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานและนำพยานเข้าสืบนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าการที่ทนายจำเลยอ้างว่า จำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาตามกฎหมายนั้น เพราะทนายจำเลยหลงลืมนับว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานได้ตามขอ และคดีนี้ จำเลยให้การต่อสู้โดยให้เหตุผลประการหนึ่งว่า นางเฮียนไปดำเนินการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทไม่ตรงตามที่นายชายบอกไว้ แต่ตามคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลย จำเลยอ้างว่า เพื่อจะนำพยานเข้าสืบในประเด็นข้อสำคัญว่า นายชายมอบอำนาจให้นางเฮียนไปโอนที่ดินแทนหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องนอกประเด็นที่จำเลยให้การไว้ กรณีจึงไม่มีเหตุผลเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและจำเป็นที่ศาลจะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้อง ของ จำเลยได้ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานจึงชอบแล้วไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ประการใดและเมื่อจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามกฎหมายแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะนำพยานเข้าสืบ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว
การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่สั่งรับวินิจฉัยในปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทตามฟ้องหรือไม่ เพราะจำเลยเสียค่าขึ้นศาล ในชั้นอุทธรณ์ไม่ครบถ้วนนั้น เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องอุทธรณ์และคำขอท้ายอุทธรณ์ของจำเลยนั้น จำเลยมิได้ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยชนะคดี เพียงแต่ขอให้จำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบเท่านั้น แม้จำเลยจะใช้ถ้อยคำในคำขอว่า พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็เป็นการใช้คำที่ไม่ถูกต้องเท่านั้นไม่ทำให้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์แต่อย่างใดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงเป็นการไม่ชอบต้องคืนค่าขึ้นศาลในส่วนนี้ให้จำเลย และเมื่อไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทตามฟ้องเป็นของโจทก์หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยในปัญหานี้ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ ให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์เป็นเงิน 6,893.50 บาท แก่จำเลย

Share