คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ที่จะมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้จะต้องกระทำโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือผู้อื่นได้รับชำระหนี้ จำเลยเป็นหนี้จำนองผู้มีชื่อ จึงขายทรัพย์จำนองพร้อมสิทธิการเช่าโทรศัพท์เพื่อชำระหนี้จำนองตามปกติ แม้จะเป็นการขายหลังจากทราบว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ก็ตาม ทั้งเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ จำเลยก็ต่อสู้ว่ามิได้เป็นหนี้โจทก์คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้หรือไม่ยังโต้เถียงกันอยู่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 91จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบฟังได้ว่า จำเลยตั้งโจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจำเลยได้จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทไว้กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ส่งเสริมเงินทุนไทย จำกัด จำนวน 3,000,000 บาท ต่อมาวันที่17 มิถุนายน 2526 โจทก์โอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้บริษัทเปาโลวิลล่า จำกัด จำนวน 3,500,000 บาท ตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.10 และจำเลยได้โอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ทั้งสี่หมายเลขให้บริษัทเปาโลวิลล่า จำกัด ด้วยโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ค่าซื้อหุ้นต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 11กรกฎาคม 2526 ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามสำเนาภาพถ่ายคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.8 จำเลยอุทธรณ์อย่างคนอนาถาคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และปัจจุบันจำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทพรมเอ็คซเพรซ จำกัด
มีปัญหาว่า การที่จำเลยโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและสิทธิการเช่าโทรศัพท์ให้บริษัทเปาโลวิลล่า จำกัด เป็นการโกงเจ้าหนี้คือโจทก์หรือไม่
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยเป็นหนี้จำนอง 3,000,000 บาทแต่ขายทรัพย์จำนองพร้อมสิทธิการเช่าโทรศัพท์ได้เงิน 3,500,000 บาทนั้น เป็นการขายเพื่อชำระหนี้จำนองตามปกติ แม้จะขายภายหลังจำเลยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้และทราบดีว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้วก็ตาม แต่จำเลยก็มิได้ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้และเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ค่าซื้อหุ้นจำเลยก็ต่อสู้ว่า จำเลยมิได้เป็นหนี้และยังอ้างคำพิพากษาศาลฎีกาว่าข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันนี้ศาลเคยวินิจฉัยให้จำเลยในคดีนั้นเป็นฝ่ายชนะคดีด้วย ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 นั้น ผู้ที่จะมีความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือผู้อื่นได้รับชำระหนี้คดีนี้ได้ความว่าจำเลยขายทรัพย์จำนองเพื่อชำระหนี้จำนอง เมื่อถูกโจทก์ฟ้องจำเลยก็ต่อสู้ว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์ คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้หรือไม่ยังโต้เถียงกันอยู่ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share