แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่กำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลา 8 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(3) นั้น ไม่ใช่เอกสารที่จะต้องส่งให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 67 และไม่ใช่บรรดาคำฟ้อง หมายเรียก และหมายอื่น ๆ คำสั่งคำบังคับของศาลตามมาตรา 70 ที่จะต้องส่งให้แก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฉะนั้น กำหนดที่ให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลา 8 วันนับแต่วันปิดประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเริ่มนับแต่วันที่มีการปิดประกาศโดยไม่ต้องรอให้พ้นระยะเวลา 15 วัน ไปเสียก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(3) มิได้บัญญัติบังคับไว้เด็ดขาดว่าถ้าผู้ร้องไม่ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนด 8 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศแล้ว ผู้ร้องจะต้องเป็นบริวารของจำเลยสถานเดียว เพราะระยะเวลาดังกล่าวเป็นเพียงระยะเวลาที่กฎหมายสันนิษฐานถึงสถานภาพของบุคคลว่าใช่หรือไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น มิใช่ระยะเวลาสิ้นสุดแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณาแต่อย่างใด ดังนั้น แม้ล่วงเลยกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศแล้ว ผู้ร้องก็ชอบที่จะยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษได้ ดังนั้น แม้ว่าบ้านและที่ดินจะเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยก็ตามแต่เมื่อศาลยังไม่ได้เพิกถอนนิติกรรมการขายบ้านและที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยบ้านและที่ดินยังเป็นของโจทก์อยู่ กรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องซึ่งเป็นสามีของจำเลยเป็นผู้มีอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(3) ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลย ไม่อาจร้องขอให้ยกคำขอบังคับคดีของโจทก์ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและอาคารสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านเรือนของโจทก์จำเลยทราบคำบังคับแล้วไม่ยอมปฏิบัติตามคำและศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว โจทก์แจ้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า จำเลยและบริวารยังไม่ออกไปตามคำพิพากษาของศาล เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงปิดประกาศกำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาล เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2541นายสุชาติ เสถียรพักตร์ ผู้ร้องยื่นคำร้องลงวันที่ 3 เมษายน 2541 ว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยและผู้ร้อง จำเลยจดทะเบียนโอนขายให้โจทก์โดยผู้ร้องไม่ทราบและมิได้ให้ความยินยอม สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยจึงไม่สมบูรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นงดการบังคับคดีแก่ผู้ร้องและบริวารของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(3) ผู้ร้องจะต้องยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในแปดวันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศ เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องล่วงเลยกำหนดระยะฯ ที่กฎหมายกำหนด จึงให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ผู้ร้องฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 เป็นบทบัญญัติในเรื่องการส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นให้แก่บุคคลซึ่งเป็นคู่ความในคดี ส่วนการปิดประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ผู้มีอำนาจพิเศษได้ทราบและยื่นคำร้องเพื่อแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดแปดวันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(3) นั้น เป็นบทบัญญัติพิเศษในเรื่องการบังคับคดี ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศให้ผู้มีอำนาจพิเศษที่ไม่ตกอยู่ภายใต้คำบังคับของคดีนั้นอันเป็นบุคคลภายนอกคดีได้ทราบและใช้สิทธิของตนได้ ไม่ใช่การส่งคำคู่ความหรือเอกสารตามมาตรา 79 วรรคสอง เป็นข้อวินิจฉัยที่ไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพราะบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(3) อยู่ในภาค 4 ลักษณะ 2 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงต้องนำบทบัญญัติในภาค 1 อันเป็นบททั่วไปมาใช้บังคับด้วยเมื่อมาตรา 79 วรรคสอง ได้บัญญัติกำหนดว่าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารโดยวิธีอื่นแทนนั้น ให้มีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันหรือระยะเวลานานกว่านั้นตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดได้ล่วงพ้นไปแล้วตั้งแต่เวลาที่คำคู่ความหรือเอกสารหรือประกาศการมอบหมายนั้นได้ปิดไว้หรือการโฆษณาหรือวิธีอื่นใดตามที่ศาลสั่งนั้นได้ทำหรือได้ตั้งต้นแล้ว ดังนั้น การปิดประกาศให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลาแปดวันนับแต่วันปิดประกาศ จึงมีผลใช้ได้ต่อเมื่อเวลาล่วงพ้นไปสิบห้าวันแล้ว เห็นว่าประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่กำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลาแปดวันตามมาตรา 296 จัตวา(3) นั้น ไม่ใช่เอกสารที่จะต้องส่งให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 67 และไม่ใช่บรรดาคำฟ้อง หมายเรียกและหมายอื่น ๆ คำสั่งคำบังคับของศาลตามมาตรา 70 ที่จะต้องส่งให้แก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องตามที่ผู้ร้องยกขึ้นอ้างในฎีกาแต่อย่างใด เพราะบรรดาเอกสารคำฟ้องหมายเรียก และหมายอื่น ๆ คำสั่ง คำบังคับของศาลตามมาตรา 67 และมาตรา 70 ดังกล่าว เป็นเอกสารที่ศาลกำหนดให้ส่งแก่คู่ความและผู้ที่เกี่ยวข้องกับคู่ความโดยตรงในคดี ส่วนประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา 296 จัตวา(3) ไม่ใช่เอกสารที่ศาลกำหนดให้ส่งแก่คู่ความหรือผู้ที่เกี่ยวข้องแต่เป็นประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ปิดประกาศให้ผู้ที่มีอำนาจพิเศษเหนือทรัพย์ที่ถูกบังคับคดียื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษของตน อันเป็นมาตรการส่วนหนึ่งในการบังคับคดีให้ดำเนินไปโดยรวดเร็วและถูกต้องและเป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นคู่ความเลยใช้สิทธิของตนเหนือทรัพย์สินที่กำลังถูกบังคับคดีอยู่ระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมายจึงต้องบังคับโดยเคร่งครัด ทั้งนี้เพื่อมิให้การบังคับคดีต้องล่าช้าอันอาจเป็นผลเสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ เพราะฉะนั้นตามบทบัญญัติมาตรา 296 จัตวา(3) ที่กำหนดให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลาแปดวันนับแต่วันปิดประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเริ่มนับแต่วันที่มีการปิดประกาศโดยไม่ต้องรอให้พ้นระยะเวลาสิบห้าวันไปเสียก่อน ดังที่ผู้ร้องยกขึ้นอ้าง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกคำร้องของผู้ร้องจึงชอบแล้ว ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาข้อต่อมาว่า หากได้พิจารณาตอนท้ายของมาตรา 296 จัตวา(3) ที่บัญญัติว่า “ถ้าไม่ยื่นภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา” แสดงว่าระยะเวลาการยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษไม่บังคับตายตัวอาจยื่นภายหลังพ้นแปดวันแล้วก็ได้นั้น ข้อนี้เห็นว่าแม้เป็นฎีกาในข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่ปัญหานี้เป็นเรื่องอำนาจการยื่นคำร้องซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้ร้องมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างในปัญหาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง และศาลฎีกาเห็นด้วยกับข้ออ้างตามฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(3) กฎหมายมิได้บัญญัติบังคับไว้โดยเด็ดขาดว่า ถ้าผู้ร้องไม่ได้ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนด 8 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงนบังคับคดีปิดประกาศแล้วผู้ร้องจะต้องเป็นบริวารของจำเลยสถานเดียว เพราะระยะเวลา 8 วันดังกล่าว เป็นเพียงระยะเวลาที่กฎหมายสันนิษฐานถึงสถานภาพของบุคคลว่าใช่หรือไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น มิใช่ระยะเวลาสิ้นสุดแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณาแต่อย่างใด แม้ล่วงเลยกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศแล้วผู้ร้องก็ชอบที่จะยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษได้ ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังขึ้น แต่อย่างไรก็ตามที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยและผู้ร้อง จำเลยจดทะเบียนโอนขายให้โจทก์โดยผู้ร้องไม่ทราบและมิได้ให้ความยินยอม สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยจึงไม่สมบูรณ์นั้นดังนี้ แม้จะถือว่าบ้านและที่ดินเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยก็ตาม แต่เมื่อศาลยังไม่ได้เพิกถอนนิติกรรมการขายบ้านและที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยบ้านและที่ดินยังเป็นของโจทก์อยู่ กรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(3) ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลย จึงไม่อาจจะร้องให้ยกคำขอบังคับคดีของโจทก์ได้ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน