แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามสัญญาลาไปศึกษาต่อมีข้อตกลงว่าเมื่อเสร็จการศึกษาแล้วจะกลับมารับราชการต่อไปหากลาออกก่อนกำหนดยอมใช้เงินเป็นจำนวน3เท่าหมายความว่าไม่ว่าจะสำเร็จการศึกษาหรือไม่ก็มีหน้าที่ต้องกลับมารับราชการต่อไปเมื่อจำเลยลาออกไปก่อนที่จะกลับมารับราชการจึงเป็นการผิดสัญญาแม้โจทก์จะอนุมัติให้จำเลยลาออกจำเลยก็ต้องชำระเบี้ยปรับการที่โจทก์เรียกให้จำเลยที่1ชำระเงินจำนวนที่ได้รับไปจากโจทก์ในระหว่างลาไปศึกษาต่อถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมรับให้ชำระเบี้ยปรับจำนวน1เท่าจำเลยที่1จะต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์คือกลับมาปฎิบัติงานให้ตามระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเมื่อจำเลยที่1ยังไม่ได้ชำระหนี้ข้อนี้เลยจะถือว่าโจทก์ยอมรับชำระหนี้โดยสงวนสิทธิในเรื่องเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา381วรรคท้ายไม่ได้ การกำหนดเบี้ยปรับเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าเมื่อลูกหนี้มิได้ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องสมควรประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา383วรรคแรกบัญญัติให้ศาลมีอำนาจลดลงได้เป็นจำนวนพอสมควรหากเห็นว่าเกินส่วนโดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายมิใช่แต่ทางทรัพย์สินเท่านั้นและเมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฎชัดแจ้งว่าได้รับความเสียหายตามจำนวนค่าปรับที่กำหนดไว้ในสัญญาศาลย่อมใช้ดุลพินิจลดค่าปรับหรือเบี้ยปรับตามสัญญาลงได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เคยรับราชการสังกัดกองทัพบกขณะที่จำเลยที่ 1 รับราชการอยู่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยทุนส่วนตัว โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันไว้แก่โจทก์จำเลยที่ 1 ศึกษาไม่สำเร็จตามหลักสูตร เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2525จำเลยที่ 1 มีหนังสือขอลาออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2525การที่จำเลยที่ 1 ลาออกจากราชการก่อนครบกำหนดตามสัญญาโดยไม่ยอมรับราชการชดใช้โจทก์ จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องชดใช้เงินแก่โจทก์เป็นจำนวน 3 เท่า ของเงินรายเดือน และค่าใช้จ่ายที่ทางราชการได้จ่ายให้ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ศึกษาอยู่จำเลยที่ 1รับเงินเดือนไปจากโจทก์ตั้งแต่เดือนกันยายน 2521 ถึงเดือนกันยายน2525 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 154,800 บาท จำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้เงินให้แก่โจทก์เป็นจำนวน 464,400 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2526 จำเลยที่ 1 โดยพันเอกประเสริฐ สุวรรณโชติบิดาของจำเลยที่ 1 ได้นำเงินมาชดใช้ให้แก่โจทก์จำนวน 154,800 บาทดังนั้น ยังคงเหลือเงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องคืนแก่โจทก์อีกจำนวน 309,600 บาท พร้อมดอกเบี้ย คิดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน319,520 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวด้วยในฐานะผู้ค้ำประกัน โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน319,520 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน309,600 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การในทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ขอลาออกจากราชการเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2525 ในขณะยังไม่สำเร็จการศึกษามิใช่กรณีจำเลยสำเร็จการศึกษาแล้วไม่กลับมาทำงานชดใช้ให้โจทก์ โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเท่าที่โจทก์ต้องเสียไปเท่านั้น และก่อนที่โจทก์จะอนุมัติให้จำเลยที่ 1 ลาออกจากราชการโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินแก่โจทก์เสียก่อนจำนวน158,845 บาท พันเอกประเสริฐ สุวรรณโชติ บิดาของจำเลยที่ 1จึงนำเงินจำนวน 158,845 บาท ไปชดใช้ให้แก่โจทก์แล้วโจทก์จึงได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ลาออกจากราชการ เรื่องดังกล่าวจึงถือว่ายุติ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาสำหรับผู้ที่ขออนุญาตไปศึกษาวิชาโดยทุนส่วนตัวเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 1 หรือข้อ 2 และจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์เพียงใดหรือไม่สำหรับปัญหาแรกสัญญาตามเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 1 มีข้อความว่า “ข้าพเจ้าจะตั้งใจและพากเพียรศึกษาวิชาโดยเต็มสติปัญญา ในระหว่างศึกษาวิชาอยู่ข้าพเจ้าจะประพฤติตนให้เรียบร้อยไม่เกียจคร้าน และจะไม่ทำการสมรสในต่างประเทศ ถ้าข้าพเจ้าปฎิบัติผิดสัญญาข้อนี้แล้ว ทางราชการก็ชอบที่จะเรียกกลับหรือสั่งปลดข้าพเจ้าได้ ทั้งข้าพเจ้าจะต้องคืนเงินรายเดือนและเงินค่าใช้จ่ายซึ่งทางราชการจ่ายให้แก่ข้าพเจ้าในระหว่างศึกษาเพิ่มเติมให้แก่ทางราชการด้วยทั้งสิ้น” ส่วนข้อ 2มีข้อความว่า “เมื่อเสร็จการศึกษาแล้ว ข้าพเจ้าจะกลับมารับราชการในกระทรวงกลาโหมต่อไป ถ้าข้าพเจ้ากลับมารับราชการได้ยังไม่ครบ2 เท่า ของเวลาที่ไปศึกษาแต่ไม่น้อยกว่า 3 ปี เป็นอย่างน้อยหรือยังไม่ครบ 10 ปี เป็นอย่างมาก นับแต่กลับมารับราชการหากข้าพเจ้าประสงค์จะลาออกจากราชการก่อนกำหนดที่กล่าวแล้วข้าพเจ้ายอมใช้เงินเป็นจำนวน 3 เท่า ของเงินรายเดือนและค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นที่ทางราชการได้จ่ายให้ในระหว่างเวลาที่ข้าพเจ้าศึกษาวิชาอยู่นั้นจนครบถ้วนทันทีเมื่อได้รับการทวงถาม” จากข้อสัญญาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในกรณีที่จำเลยที่ 1 จะต้องคืนเงินรายเดือนและค่าใช้จ่ายตามสัญญาเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 1 นั้นจำเลยที่ 1 จะต้องปฎิบัติผิดสัญญา 3 ประการ คือ ไม่ตั้งใจและพากเพียรศึกษาวิชา ประพฤติตนไม่เรียบร้อยและเกียจคร้าน และทำการสมรสในต่างประเทศ ซึ่งเป็นเหตุให้โจทก์อาจจะเรียกจำเลยที่ 1กลับหรือสั่งปลดจำเลยที่ 1 ได้ โดยที่จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ จากโจทก์ แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดใน 3 ประการดังที่กล่าวมา และโจทก์มิได้เรียกจำเลยที่ 1 กลับประเทศไทยหรือปลดจำเลยที่ 1 ออกจากราชการ กลับปรากฎว่าจำเลยที่ 1มีหนังสือถึงโจกท์ขอลาออกจากราชการนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดที่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ขยายเวลาเพื่อการศึกษาวิชา แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะไม่สำเร็จการศึกษา แต่ตามสัญญาใช้คำว่าเสร็จการศึกษา ดังนั้นไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะสำเร็จการศึกษาหรือไม่จำเลยที่ 1 ก็มีหน้าที่ต้องกลับมารับราชการตามที่ทำสัญญาไว้แก่โจทก์ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 2 เมื่อจำเลยที่ 1ไม่กลับมารับราชการตามที่ได้สัญญาไว้และลาออกไปก่อนที่จะกลับมารับราชการตามที่ได้สัญญาไว้ถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาตามเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 2 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปคือ จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์เพียงใดหรือไม่ เห็นว่า สัญญาตามเอกสารหมาย จ.4เป็นสัญญาที่มีการกำหนดเบี้ยปรับไว้ในกรณีที่มีการผิดสัญญาเฉพาะที่กำหนดไว้ในข้อ 2 เท่านั้น ส่วนข้อ 1 เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1จะต้องคืนเงินรายเดือนและเงินค่าใช้จ่ายซึ่งทางราชการจ่ายให้แก่จำเลยที่ 1 ในกรณีที่จำเลยปฎิบัติผิดข้อสัญญาที่กล่าวไว้ในข้อ 1และโจทก์เรียกตัวจำเลยที่ 1 กลับจากต่างประเทศหรือมีคำสั่งปลดจำเลยที่ 1 ออกจากราชการเพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ปฎิบัติผิดสัญญาข้อ 1 เท่านั้น ไม่มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ แม้จะอยู่ในสัญญาฉบับเดียวกันก็ตาม เพราะสัญญาตามเอกสารหมาย จ.4 มีข้อความกำหนดไว้ชัดเจน ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ทำผิดสัญญาตามเอกสารหมายจ.4 ข้อ 2 ตามที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระเบี้ยปรับแก่โจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญา การที่โจทก์เรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวนที่ได้รับไปจากโจทก์ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ไปศึกษาวิชาที่ต่างประเทศโดยหน่วยงานของโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 ทำผิดสัญญาข้อ 1แห่งสัญญาดังกล่าวและทำเรื่องเสนอโจทก์ให้ออกคำสั่งอนุมัติให้จำเลยที่ 1 ลาออกจากราชการนั้น แม้จำเลยที่ 1 โดยบิดาจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระแทน ก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระเบี้ยปรับจำนวน 1 เท่าของเงินรายเดือนและค่าใช้จ่ายที่จำเลยที่ 1 ได้รับไปจากโจทก์โดยมิได้สงวนสิทธิที่จะเรียกใช้ชำระเบี้ยปรับในส่วนที่เหลือเพราะพึงพอใจในเงินเบี้ยปรับนั้นแล้ว เป็นเรื่องที่หน่วยงานของโจทก์ตีความในสัญญาไม่ถูกต้อง และถือไม่ได้ว่าการที่โจทก์อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ลาออกจากราชการเป็นการยอมรับเอาเบี้ยปรับจำนวน 1 เท่า ไว้แล้วดังจะเห็นได้จากสัญญาเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 2 ก็ได้กล่าวถึงการลาออกก่อนกำหนดเวลาที่จะกลับมาทำงานให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาแสดงว่าแม้โจทก์อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ลาออกจำเลยที่ 1 ก็ยังมีภาระที่จะต้องชำระเบี้ยปรับแก่โจทก์การชำระหนี้ในกรณีนี้คือการกลับมาปฎิบัติงานให้แก่โจทก์ตามกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ชำระหนี้เลยจะถือว่าโจทก์ยอมรับการชำระหนี้โดยมิได้สงวนสิทธิในเรื่องเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคท้าย ไม่ได้จำเลยที่ 1 ยังมีหน้าที่จะต้องชำระเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดร่วมด้วยในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.5 แต่อย่างไรก็ตาม การกำหนดเบี้ยปรับคือข้อสัญญาที่คู่กรณีกำหนดความเสียหายไว้ล่วงหน้าเนื่องจากการที่ลูกหนี้มิได้ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องตามสมควรประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคแรก บัญญัติว่า”ถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ในการที่จะวินิจฉัยว่าสมควรเพียงใดนั้น ท่านให้พิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย” แสดงว่าเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ในสัญญาในกรณีที่ผิดสัญญานั้นกฎหมายมิได้บังคับเด็ดขาดว่าจะต้องให้เป็นไปตามนั้น ทั้งนี้ต้องพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายด้วย มิใช่แต่ทางได้เสียในเชิงทรัพย์สินเท่านั้น ดังนั้น เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฎชัดแจ้งว่าโจทก์เสียหายเต็มตามจำนวนค่าปรับที่กำหนดไว้ในสัญญาศาลย่อมใช้ดุลพินิจลดค่าปรับหรือเบี้ยปรับตามสัญญาลงได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคแรกเมื่อคำนึงถึงว่าโจทก์ได้รับการชดใช้เงินจำนวนหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นค่าเสียหายบางส่วนไปแล้ว ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยที่ 1 ชำระแก่โจทก์อีกเป็นเงินจำนวน 80,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดด้วยดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์อีกนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน80,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ