คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5392/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง แล้วมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อปรากฏว่า คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย และย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องว่าจะรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) และ 27 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1และนางสวรรค์ร่วมกัน ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนแบ่งแยกและโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากจำเลยทั้งสองฝ่าฝืนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่มรดกแต่เป็นของจำเลยที่ 1 และโอนให้จำเลยที่ 2 โดยถูกต้อง คดีโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ โดยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ”แล้วมีคำสั่งรับอุทธรณ์โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ คืนค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งว่าคดีนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงโจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองว่า คดีโจทก์มีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นมีหน้าที่พิจารณาเพียงว่า มีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่เท่านั้นการที่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีโจทก์เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงให้ยกคำร้องจึงเป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดี แม้โจทก์จะเพิ่งยกปัญหาข้อนี้ขึ้นมาในชั้นฎีกาก็ตาม แต่เนื่องจากเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนคำสั่งและการดำเนินการพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) และมาตรา 27 ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอให้รับรองอุทธรณ์ของโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องฉบับลงวันที่ 14 สิงหาคม 2535 ว่าจะรับรองหรือไม่ แล้วดำเนินการต่อไป

Share