คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 539/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีภริยาได้ทำหนังสือลงลายมือชื่อสามีภริยาและพยาน 2คน มีข้อความว่าได้พร้อมใจกันเลิกสภาพการเป็นสามีภริยากันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เช่นนี้ เป็นการเลิกสภาพการเป็นสามีภริยาโดยพฤตินัย แต่โดยทางนิตินัยยังมิได้หย่าขาดกันตามกฎหมาย หรือมีความประสงค์จะไปจดทะเบียนในภายหลังและต่อมาอีก 5 วัน สามีโทรเลขให้ภริยากลับบ้านบอกว่าฉีกหนังสือนั้นแล้ว ต่อมาได้คืนดีกันและประพฤติต่อกันฉันสามีภริยาอีกดังนี้ จะถือว่าหย่าขาดจากกันตามหนังสือดังกล่าวไม่ได้
ภริยาส่งจดหมายถึงสามีมีใจความว่า สามีเป็นสัตว์ป่าในร่างมนุษย์เป็นการหมิ่นประมาทสามีอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1500(2)
ภริยาส่งจดหมายถึงสามีมีข้อความว่า ภริยาจะจ้างด้วยเงิน ด้วยตัวกับผู้ที่หลงรักภริยา ให้เอาน้ำกรดสาดหน้าสามี ย่อมถือได้ว่าภริยาทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงจนสามีไม่อาจจะอยู่กินกันได้เพราะอาจได้รับอันตรายจากภริยาเมื่อใดก็ได้อันเป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1500(3)
ภริยามีที่ดินและอาคารราคาสองแสนบาทเศษ ใช้อาคารนั้นเป็นหอพักเก็บผลประโยชน์ได้เดือนละ 1,000 บาทเศษ และทำงานได้เงินเดือนเดือนละ 1,975 บาทถือว่าภริยามีรายได้พอจากทรัพย์สินและการงานที่ทำเมื่อหย่ากันโดยสามีภริยาเป็นผู้ต้องรับผิดทั้งสองฝ่าย สามีไม่ต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1506
แม้โจทก์ฟ้องขอหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1500(2)(3) เมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนับแต่วันรู้เหตุหย่าก็ตามแต่จำเลยไม่ได้ยกเอาเหตุแห่งการระงับของสิทธิฟ้องร้องตามมาตรา 1509 ขึ้นต่อสู้ไว้ ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือหย่าขาดจากกันสมบูรณ์ตามกฎหมาย หรือโจทก์มีเหตุหย่าขาดกับจำเลย และให้พิพากษาให้หย่าขาดจากกันกับให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอเมืองนครสวรรค์ หรืออำเภอดุสิต หรืออำเภอใดอำเภอหนึ่ง หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ประพฤติตนไม่สมควรหลายประการให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูก่อนฟ้องพร้อมด้วยดอกเบี้ย และค่าอุปการะเลี้ยงดูต่อมาจนจะหมดสภาพการเป็นสามีภริยา

โจทก์ให้การแก้ฟ้องเช่นเดียวกับคำฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การหย่าได้กระทำโดยความยินยอมของโจทก์จำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1498 แต่ไม่สมบูรณ์เพราะไม่ได้จดทะเบียนหย่า โจทก์เช่าซื้ออาคารสงเคราะห์ให้จำเลยอยู่ ฝากงานให้จำเลยทำ ให้เงินจำเลยใช้เพื่อให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าแต่เมื่อจัดการแล้วจำเลยกลับเรียกร้องเงินจากโจทก์อีก เมื่อหนังสือหย่าสมบูรณ์และไม่ได้ถูกยกเลิก โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนการหย่าได้ ตามฎีกาที่ 1291/2500 และไม่จำต้องวินิจฉัยถึงเหตุหย่า จำเลยไม่ใช่ผู้ไร้ทรัพย์สิน และการหย่าเกิดจากความยินยอม จำเลยไม่มีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู พิพากษาว่าโจทก์จำเลยได้ทำหนังสือหย่าขาดกันสมบูรณ์ตามกฎหมาย ให้โจทก์จำเลยไปจดทะเบียนการหย่าที่อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือที่โจทก์จำเลยลงลายมือชื่อกันไว้มีข้อความเพียงว่า ได้พร้อมใจกันเลิกสภาพการเป็นสามีและภริยากันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเท่านั้น คือ เลิกสภาพการเป็นสามีภริยากันโดยพฤตินัย แต่โดยทางนิตินัยยังมิได้หย่าขาดกันตามกฎหมาย หรือได้มีความประสงค์จะไปจดทะเบียนหย่ากันในภายหลัง ทั้งปรากฏว่าต่อมาอีก 5 วัน โจทก์ได้โทรเลขขอให้จำเลยกลับ โดยระบุว่าเสสดาสฉีกทิ้งแล้ว เสสดาสนี้ย่อมหมายถึงหนังสือที่โจทก์จำเลยทำไว้ดังกล่าวนั้นเองและหลังจากนี้โจทก์จำเลยก็ได้คืนดีกัน และประพฤติต่อกันฉันสามีภริยาอีก ส่วนการที่โจทก์ส่งเงินให้จำเลยเป็นรายเดือน ๆ ละ 800 บาทจนถึงเดือนสิงหาคม 2506 ช่วยออกเงินค่าผ่อนชำระการเช่าซื้ออาคารสงเคราะห์พิบูลวัฒนาให้จนถึงเดือนกันยายน 2506 และช่วยซื้อรถยนต์ฮิลแมนเก่าให้จำเลย 1 คัน แล้วแลกเปลี่ยนรถยนต์ฟอร์ดแองเกลียใหม่โดยวิธีเพิ่มเงินให้ก็เป็นการอุปการะเลี้ยงดูกัน และแบ่งเงินกันใช้จ่ายในระหว่างสามีภริยา มิใช่เพื่อจะให้จำเลยจะจดทะเบียนหย่าดังที่โจทก์อ้าง หากต่อมาอีก 4 ปี จำเลยได้ทราบว่าโจทก์ไปได้เสียกับหญิงอื่น จำเลยจึงได้มีจดหมายต่อว่าโจทก์อย่างรุนแรงขึ้นใหม่คดีจึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์จำเลยได้หย่าขาดจากกันแล้วตามกฎหมายและศาลจึงไม่บังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าขาดจากกันตามหนังสือดังกล่าว

จริงอยู่ การที่จำเลยทราบว่าโจทก์เป็นคนเจ้าชู้ และมีพฤติการณ์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากัน อันอาจจะเป็นเหตุให้จำเลยฟ้องหย่าได้ก็ตาม แต่ก็หาเป็นการลบล้างในการที่จะให้จำเลยไปประพฤติตัวอันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้ไม่จดหมายและเอกสารหมาย จ.8 ที่มีใจความว่า โจทก์เป็นสัตว์ป่าในร่างมนุษย์ เป็นจดหมายที่หมิ่นประมาทโจทก์และไม่จำต้องกล่าวต่อบุคคลที่ 3 จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ซึ่งเป็นการร้ายแรงอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2) และแม้ข้อความต่อไปซึ่งมีกระดาษปิดทับไว้จะมีข้อความว่า “อย่างคุณน้อยว่าไว้” ก็ตาม จำเลยนำมากล่าวอีก ก็เท่ากับจำเลยมากล่าวซ้ำขึ้นอีกนั่นเอง ข้อแก้ตัวของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น และจดหมายเอกสารหมาย จ.8 ยังมีข้อความว่าจำเลยจะจ้างด้วยเงินและด้วยตัวกับผู้ที่หลงรักจำเลยให้เอาน้ำกรดสาดหน้าโจทก์ ย่อมถือได้ว่าจำเลยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง จนโจทก์ไม่อาจจะอยู่กินเป็นสามีของจำเลยได้ เพราะโจทก์อาจได้รับอันตรายใด ๆ จากจำเลยเมื่อใดก็ได้ จึงเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(3) อีกประการหนึ่ง

แม้โจทก์ฟ้องขอหย่าจากจำเลยเมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนับแต่วันรู้แต่จำเลยมิได้ยกเอาเหตุแห่งการระงับของสิทธิฟ้องร้องตามมาตรา 1509ขึ้นต่อสู้ไว้ ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

ส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูเห็นว่า โจทก์จำเลยเป็นผู้ต้องรับผิดทั้งสองฝ่าย จำเลยมีอาคารสงเคราะห์พร้อมทั้งที่ดินมีราคาสองแสนบาทเศษ จำเลยใช้อาคารนี้เป็นหอพักเก็บผลประโยชน์ได้เดือนละ 1,000 บาทเศษ และมีเงินเดือน ๆ ละ 1,975 บาท จำเลยมีรายได้พอจากทรัพย์สินและการงานตามที่เคยทำระหว่างสมรส โจทก์ไม่ต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1506

พิพากษายืน

Share