แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ ที่พิพาทในขณะยื่นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยข้อ ก.เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งใช้บังคับคดีนี้ในขณะที่ยื่นฎีกาด้วย จึงไม่รับฎีกาข้อ ก. ส่วนฎีกาข้อ ข. เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับฎีกาเฉพาะข้อ ข.
จำเลยเห็นว่า คดีนี้ยื่นฟ้องก่อนวันที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขใหม่ใช้บังคับ ฎีกาของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยเป็นทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 4 หน้า 6 สารบบเล่มหมู่ที่ 4 หน้า 266 ตำบลหนองบัว อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ห้ามจำเลยและบริวารรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 105)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 109)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทจำเลยฎีกาในข้อ 1 ก.ว่าโจทก์ไม่ได้ครอบครองที่พิพาท จึงเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทย่อมต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยยื่นฎีกา ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาว่า พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535มาตรา 18 บัญญัติว่า ไม่ให้ใช้บังคับแก่คดีที่ยื่นฟ้องไว้ก่อน วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับนั้น ปรากฏว่ากฎหมายที่จำเลยอ้างดังกล่าวได้บัญญัติแก้ไขวิธีพิจารณาความแพ่งเกี่ยวกับเรื่องอื่นไม่ได้แก้ไขเกี่ยวกับทุนทรัพย์ในการฎีกา จึงเป็นคนละเรื่องกันศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง