คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5389/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยยื่นคำแถลงขอหลักประกันคืนต่อศาลชั้นต้นเป็นกรณีที่จำเลยใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 251เมื่อศาลชั้นต้นสั่งยกคำแถลงของจำเลย จำเลยจึงชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นมายังศาลฎีกาหาได้ไม่

ย่อยาว

มูลกรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายอันเนื่องมาจากจำเลยผิดสัญญาซื้อขาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาต โดยให้จำเลยหาหลักประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องถึงวันฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์และต่อไปอีก 1 ปีจำเลยได้นำสัญญาค้ำประกันของธนาคารกสิกรไทย มาวางเป็นหลักประกันต่อศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นได้รับไว้เป็นหลักประกันต่อมาศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2534 โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 16ตุลาคม 2534 ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2535 จำเลยยื่นคำแถลงขอหลักประกันคืน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2534ว่า โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2534 คดีจึงไม่ถึงที่สุดจึงไม่อนุญาต ยกคำแถลง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยยื่นคำแถลงขอหลักประกันคืนต่อศาลชั้นต้นเป็นกรณีที่จำเลยใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 251 ซึ่งกฎหมายมาตราดังกล่าวมิได้บัญญัติว่าถ้าศาลชั้นต้นมีคำสั่งอย่างไรแล้วให้คู่ความอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไปยังศาลฎีกาได้เลย ฉะนั้น เมื่อศาลชั้นต้นสั่งยกคำแถลงของจำเลย จำเลยจึงชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นมายังศาลฎีกาหาได้ไม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลย จึงไม่ชอบ
พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share