คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5380/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกที่พิพาทต่อมาโจทก์จำเลยบันทึกตกลงกันให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตหากที่พิพาทอยู่นอก น.ส.3ก. ของจำเลย จำเลยยอมยกที่พิพาทให้โจทก์ผลการรังวัดที่พิพาทอยู่นอก น.ส.3ก. ของจำเลย จำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาท อ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ดังนี้ ประเด็นแห่งคดีมีว่าข้อตกลงตามบันทึกดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่
ตามบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความว่า หากที่พิพาทอยู่นอก น.ส.3ก. ของจำเลย จำเลยยอมยกที่พิพาทให้โจทก์ ดังนี้ข้อความดังกล่าวเป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับที่พิพาท เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850
คำให้การจำเลยไม่ปรากฏว่า จำเลยได้ให้การว่าได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์ จึงไม่มีประเด็นเรื่องกำหนดเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.๓ ก. เลขที่๒๗๗๕ โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ตารางวาและอยู่ติดกับที่ดินจำเลยทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของที่ดินจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าไถที่ดินของโจทก์ดังกล่าว โจทก์จึงร้องเรียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอนครไทย โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันต่อหน้าเจ้าพนักงานที่ดินว่า หากที่ดินของโจทก์อยู่นอกเขต น.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๗๗๕ จำเลยทั้งสองยอมยกให้แก่โจทก์ เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตแล้ว ปรากฏว่าที่ดินของโจทก์อยู่นอกเขต น.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๗๗๕ ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้เรียกโจทก์และจำเลยทั้งสองไปตกลงกันตามข้อตกลง จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกไปจากที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับไม่ให้จำเลยทั้งสองและบริวารยุ่งเกี่ยวในที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๕๐ ตารางวา ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ข้อตกลงที่ว่าหากที่พิพาทอยู่นอกเขตน.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๗๗๕ จำเลยยอมยกให้แก่โจทก์นั้นไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายเพราะยังไม่มีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และมิได้ส่งมอบที่พิพาทให้แก่โจทก์ครอบครอง โจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยทั้งสองและบริวารมายุ่งเกี่ยวในที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ประมาณ ๕๐ ตารางวา ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของที่ดิน น.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๗๗๕ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสองบุกรุกที่พิพาท โจทก์ได้ไปร้องเรียนต่อพนักงานที่ดินอำเภอนครไทย และตกลงกันให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขต หากที่ดินของโจทก์อยู่นอกน.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๗๗๕ จำเลยทั้งสองยอมยกให้โจทก์ปรากฏตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.๑ เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตแล้วที่ดินของโจทก์ไม่ได้อยู่ในเขต น.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๗๗๕เจ้าพนักงานที่ดินเรียกจำเลยทั้งสองไปตกลงกันกับโจทก์ตามข้อตกลงจำเลยทั้งสองไม่ยอมออกไปจากที่ดินของโจทก์ และจำเลยทั้งสองให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองเข้าไปทำกินในที่พิพาทตามปกติเป็นประจำทุกปีไม่ได้บุกรุก ข้อตกลงที่ว่าหากที่พิพาทอยู่นอกเขต น.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๗๗๕ จำเลยยอมยกให้แก่โจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เห็นว่า ตามฟ้องและคำให้การดังกล่าวประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าข้อตกลงตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.๑เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดประเด็นว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทหรือไม่ แล้ววินิจฉัยประเด็นดังกล่าวมานั้นจึงไม่ชอบ จึงให้ยกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวมาเสีย และศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นที่ว่า ข้อตกลงตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมายจ.๑ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ จำเลยต่อสู้แต่เพียงว่าข้อตกลงไม่สมบูรณ์เท่านั้น จึงเห็นสมควรพิจารณาและพิพากษาไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิจารณาและพิพากษาในประเด็นดังกล่าว ศาลฎีกาพิเคราะห์บันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.๑ แล้วเห็นว่า ข้อความที่ระบุว่าโจทก์จำเลยตกลงกันให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตหากที่ดินของโจทก์ เห็นว่า ข้อความที่ระบุว่าโจทก์จำเลยตกลงกันให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตหากที่ดินของโจทก์(ที่พิพาท) อยู่นอก น.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๗๗๕ จำเลยทั้งสองยอมยกให้โจทก์นั้นเป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยทั้งสองเกี่ยวกับที่พิพาท จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทอยู่นอกเขต น.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๗๗๕ ดังนี้ ที่พิพาทจึงเป็นของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ในปัญหาที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ยกเรื่องระยะเวลาฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองขึ้นพิจารณาโดยอ้างเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมนั้น เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ให้การว่าได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องกำหนดเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share