คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 538/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าอาวาสมีหน้าที่ตามกฎหมายในการบำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ย่อมมีสิทธิที่จะพิเคราะห์สั่งการในการซ่อมวิหารซึ่งชำรุดว่าจะเป็นการสมควรประการใด เมื่อเจ้าอาวาสเห็นว่าการซ่อมแซมควรหันหน้าวิหารและพระประธานไปทางทิศตะวันออก เพื่อให้เป็นแนวเดียวกับโบสถ์ เป็นระเบียบแบบแผนตามแผนผังของคณะสงฆ์ ใครจะอ้างความศรัทธาฝ่าฝืนเข้าซ่อมวิหารโดยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าอาวาสนั้นมิได้ หากยังขัดขืนเข้าซ่อมโดยพลการ เจ้าอาวาสย่อมมีสิทธิยับยั้งขัดขวางไว้โดยไม่เป็นการกระทำละเมิดด้วยการใช้สิทธิอันมีแต่จะเกิดการเสียหายแก่ผู้ใด
การซ่อมวิหารกับการปฏิบัติพิธีธรรมในศาสนาเป็นคนละเรื่องกัน ใครจะอ้างเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเข้าซ่อมวิหารโดยพลการหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับพวกผู้มีศรัทธาจะซ่อมหลังคาวิหารวัดโบสถ์ซึ่งชำรุดแต่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะอำเภอวัดโบสถ์กลับขัดขวาง โดยกล่าวว่าจะเอาตำรวจจับ เพราะโจทก์กับพวกไม่หันหน้าวิหารและพระประธานไปทางทิศตะวันออก โจทก์มีหนังสือรายงานจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก และมีหน้าที่บังคับบัญชาจำเลยที่ ๒ แต่จำเลยที่ ๑ ไม่รายงานขึ้นไปตามลำดับหรือสั่งมิให้จำเลยที่ ๒ ขัดขวางกลับมีหนังสือถือโจทก์ให้พูดปรับความเข้าใจกันใหม่ แสดงว่าจำเลยทั้งสองร่วมคบคิดสนับสนุนกันขัดขวางโจทก์กับผู้มีศรัทธาเป็นการใช้สิทธิมีแต่จะเกิดการเสียหายแก่โจทก์ อันมิชอบด้วยกฎหมายขอให้บังคับจำเลยมิให้ดำเนินการขัดขวางการซ่อมแซมหลังคาวิหารด้วยวิธีใด ๆ
จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่า กรณีตามฟ้องไม่เป็นละเมิด โจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ได้ขัดขวางการซ่อมวิหาร โจทก์ไม่เคยติดต่อด้วยตนเอง แต่มีญาติไปติดต่อ จำเลยที่ ๒ แนะนำโดยสุจริตใจว่า การซ่อมควรหันหน้าวิหารและพระประธานไปทางทิศตะวันออก เพื่อเป็นแนวเดียวกับโบสถ์ จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจหน้าที่สั่งให้จำเลยที่ ๒ ต้องยินยอมให้โจทก์ซ่อมวิหาร
โจทก์จำเลยไม่สืบพยาน โดยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามคำฟ้องและคำให้การ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยขัดขวาง แต่จำเลยปฏิเสธหน้าที่นำสืบตกแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ก็ไม่มีทางชนะคดี พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงเท่าที่ได้ความตามฟ้องและคำให้การ มีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ และจะบังคับจำเลยมิให้ขัดขวางในการซ่อมหลังคาวิหารได้หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๗ บัญญัติว่า “เจ้าอาวาสมีหน้าที่ดังนี้ (๑) บำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ฯลฯ” ดังนี้ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดโบสถ์จึงมีหน้าที่บำรุงรักษาวัดโบสถ์ จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดรวมทั้งวิหารที่พิพาท โดยมีสิทธิที่จะพิเคราะห์สั่งการในการซ่อมวิหารนั้นว่าจะเป็นการสมควรประการใด การซ่อมแซมจึงจะเป็นไปด้วยดี และเมื่อจำเลยที่ ๒ เห็นว่า การซ่อมแซมควรหันหน้าวิหารและพระประธานไปทางทิศตะวันออก เพื่อให้เป็นแนวเดียวกับโบสถ์ เป็นระเบียบแบบแผนตามแผนผังของคณะสงฆ์ โจทก์กับพวกแม้จะมีจิตศรัทธาในการซ่อมหลังคาวิหารเพียงใดก็ไม่มีทางฝ่าฝืนขืนเข้าซ่อมหลังคาวิหารโดยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ ๒ นั้นได้ หากยังขืนจะเข้าซ่อมโดยพลการ โดยอำนาจตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ ๒ ย่อมมีสิทธิจะยับยั้งขัดขวางได้ และเมื่อจำเลยที่ ๒ มีสิทธิจะขัดขวางโจทก์กับพวกซึ่งไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการซ่อมวิหาร ที่จำเลยที่ ๑ มิได้สั่งจำเลยที่ ๒ มิให้ขัดขวางนั้น ไม่เป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการใช้สิทธิอันมีแต่จะเกิดการเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๑
ที่โจทก์ฎีกาว่า มีเสรีภาพในการซ่อมหลังคารวิหารและการซ่อมวิหารเป็นการปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของโจทก์กับพวกในศาสนาอย่างหนึ่งนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การซ่อมวิหารและการปฏิบัติพิธีกรรมในศาสนาเป็นคนละเรื่องกันและเสรีภาพของโจทก์กับพวกก็ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังวินิจฉัยข้างต้น
ที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการล่วงละเมิดพระธรรมวินัยนั้น หลักพระธรรมวินัยที่โจทก์อ้างจะถูกแท้แน่นอนหรือไม่ประการใด กรณีไม่อยู่ในอำนาจศาลที่จะวินิจฉัย
พิพากษายืน.

Share