คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 426/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เรียงคำฟ้องและรับว่าความในหน้าที่ของทนายความ.ข้อความที่ปรากฏในคำฟ้องเป็นข้อความที่ได้จากคำบอกเล่าของจำเลยที่ 1(ซึ่งเป็นลูกความ) และจะเป็นความเท็จหรือความจริง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทนายความย่อมไม่มีโอกาสจะทราบได้นอกจากจะปรากฏตามหลักฐานที่นำสืบ. หากในเวลาภายหน้าความปรากฏขึ้นว่า คำฟ้องมีข้อความอันเป็นเท็จ. ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบก็คือจำเลยที่ 1 หาใช่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแต่ผู้เรียงคำฟ้องตามคำบอกเล่าในหน้าที่ของทนายความไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันนำเอาความเท็จมาฟ้องว่านายเสงี่ยม ยินดีพิธ กระทำผิดอาญา ว่านายเสงี่ยมเรียกร้องเอาเงินจากจำเลยเพื่อจะได้ไม่สั่งให้พนักงานสอบสวนจับจำเลยที่ 1 ไปส่งฟ้องและเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาททำให้นายเสงี่ยมเสียหาย จำเลยทั้งสองเป็นจำเลยคนเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาดำที่ 302/2509, 1048/2509ของศาลจังหวัดนครราชสีมาและจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาดำที่ 579/2509, 1278/2509 ของศาลแขวงนครราชสีมา และศาลจังหวัดนครราชสีมาตามลำดับ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 136, 175, 181(2), 326, 328, 83 และขอให้นับโทษต่อ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175, 181(2), 326, 328, 83 ให้ลงโทษตามมาตรา 175, 181(2)อันเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปี คดีที่ขอให้นับโทษต่อยังไม่ได้พิพากษาจึงให้ยกคำขอ โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 คบคิดกับจำเลยที่ 1 และไม่มีข้อเท็จจริงจะวินิจฉัยว่าความจริงในเรื่องที่ผู้เสียหายถูกฟ้องเป็นอย่างไร เพราะศาลสั่งจำหน่ายคดีเรื่องนั้นก่อนไต่สวนมูลฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานนำสืบว่าจำเลยทั้งสองได้สมคบกัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เรียงคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้นำสืบว่าจำเลยที่ 1 มาปรึกษาเล่ารายละเอียดให้ฟัง และจะฟ้องผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ตกลงรับว่าความให้ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 2 เรียงคำฟ้องและรับว่าความในหน้าที่ของทนายความ ข้อความที่ปรากฏในคำฟ้อง จึงเป็นข้อความที่ได้จากคำบอกเล่าของจำเลยที่ 1 และจะเป็นความเท็จหรือความจริง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทนายความย่อมไม่มีโอกาสจะทราบได้ นอกจากจะปรากฏตามหลักฐานที่นำสืบหากในเวลาภายหน้าความปรากฏชัดว่า คำฟ้องมีข้อความอันเป็นเท็จผู้ที่จะต้องรับผิดชอบก็คือจำเลยที่ 1 หาใช่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแต่ผู้เรียงคำฟ้อง ตามคำบอกเล่าในหน้าที่ของทนายความไม่ ส่วนฟ้องของจำเลยที่ 1 จะมีข้อความอันเป็นเท็จหรือไม่นั้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยว่าคำฟ้องจำเลยเป็นเท็จ พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์.

Share