แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก และมาตรา 310 วรรคแรก เป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อผู้เสียหาย ถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนนี้ย่อมระงับไปในตัวไม่มีผล บังคับอีกต่อไป อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า จำเลยมิได้ตบหน้าผู้เสียหายแต่หากจะฟังว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายจริงก็เป็นเพราะผู้เสียหาย ตบหน้าจำเลย จำเลยจึงตบหน้าผู้เสียหายเพื่อป้องกันตัวนั้น นอกจากจะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำผิด แล้ว ยังได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าการกระทำของจำเลย เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริงเพื่อนำมาสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 310, 391, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (ที่ถูกต้องระบุมาตรา 310 วรรคแรก ด้วย) 391 ฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 4 ปีฐานใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ปรับ 1,000 บาท รวมจำคุก 4 ปี และปรับ 1,000 บาทไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีและทำคำพิพากษาส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟังแล้วแต่ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง จำเลยและผู้เสียหายร่วมกันยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสองสามารถตกลงกันได้โดยจำเลยยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายเป็นเงิน 50,000 บาทและผู้เสียหายได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไว้เรียบร้อยแล้วผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยทั้งทางแพ่งและทางอาญาอีกต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์ทุกข้อหา ศาลชั้นต้นสอบโจทก์แล้วไม่ค้านเห็นว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรกและมาตรา 310 วรรคแรก เป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2) คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนนี้ย่อมระงับไปในตัวไม่มีผลบังคับอีกต่อไป ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 ไม่ใช่ความผิดอันยอมความได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับ
ที่จำเลยฎีกาว่า ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายโดยการตบหน้าผู้เสียหายเป็นการกระทำอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้ตบหน้าผู้เสียหาย หากจะฟังว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายจริง ก็เป็นเพราะผู้เสียหายตบหน้าจำเลย จำเลยจึงตบหน้าผู้เสียหายเพื่อป้องกันตัว อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวนอกจากจะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำผิดแล้วยังได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำมาสู่ปัญหาข้อกฎหมายซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำหน่ายคดีเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก และมาตรา 310 วรรคแรกคงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ปรับ 1,000 บาทไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30