แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้อุปสรรคที่ทำให้การก่อสร้างล่าช้าบางประการมิใช่ความผิดของโจทก์ แต่ก่อนครบกำหนดสิ้นสุดสัญญาฉบับแรก โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาดังกล่าวครั้งที่ 1มีการลดเวลาการก่อสร้างลงอีก 5 วัน และขณะนั้นเหลือเวลาอีกเพียง 14 วัน ก็จะถึงกำหนดเวลาที่แก้ไขใหม่ แต่โจทก์กลับยอมลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวโดยดี และต่อมาเมื่อมีการทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาดังกล่าวครั้งที่ 2 ซึ่งขณะนั้นโจทก์ทำการก่อสร้างตามสัญญาดังกล่าวเสร็จแล้วสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับหลังเพิ่มเวลาก่อสร้างเพียง 3 วัน โจทก์ย่อมต้องทราบแล้วว่าระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นนั้นน้อยกว่าเวลาที่โจทก์ใช้จริงมาก และก่อนหน้านั้นจำเลยที่ 1 หักค่าปรับจากเงินค่าจ้างแต่ละงวดที่จ่ายให้โจทก์ไปแล้วเป็นจำนวนมาก แต่โจทก์กลับยอมลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาฉบับแรกครั้งที่ 2 โดยดีอีกเช่นกัน ส่วนการก่อสร้างตามสัญญาฉบับที่ 2 ซึ่งเป็นการก่อสร้างต่อเนื่องจากสัญญาฉบับแรก กำหนดไว้ว่าต้องลงมือก่อสร้างหลังจากทำการก่อสร้างตามสัญญาฉบับแรกไปแล้ว 170 วัน และปรากฏว่าการก่อสร้างตามสัญญาฉบับนี้ล่าช้ากว่ากำหนดเช่นเดียวกับสัญญาฉบับแรก แม้น่าเชื่อว่าอุปสรรคที่ทำให้การก่อสร้างตามสัญญาฉบับแรกล่าช้ามีผลทำให้การก่อสร้างตามสัญญาฉบับหลังล่าช้าไปด้วยแต่เมื่อมีการทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาฉบับหลังครั้งที่ 2 ซึ่งขณะนั้นโจทก์ทำการก่อสร้างตามสัญญาฉบับหลังเสร็จแล้ว สัญญาแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเพิ่มเวลาการก่อสร้างให้โจทก์อีกเพียง 127 วัน โจทก์ย่อมต้องทราบแล้วว่าระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นนั้นน้อยกว่าเวลาที่โจทก์ใช้จริงมาก และก่อนหน้านั้นจำเลยที่ 1 หักค่าปรับจากเงินค่าจ้างแต่ละงวดที่จ่ายให้โจทก์ไปเป็นจำนวนมาก แต่โจทก์ยังคงยอมลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวอีกเช่นกัน พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ยอมรับกำหนดเวลาสิ้นสุดในสัญญาทุกฉบับที่ทำกับจำเลยที่ 1 และไม่ติดใจเงินค่าปรับที่ต้องถูกหักจากค่าจ้างตามสัญญา โจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาทั้งสองฉบับและไม่มีสิทธิเรียกคืนค่าปรับที่จำเลยที่ 1 หักไว้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษาด้วยกัน
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจ้างเหมาโจทก์ทำการปรับปรุงถนนสุขุมวิท ๕๕ (ซอยทองหล่อ) ตามสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ และสัญญาที่ ๑๔๕/๒๕๒๑ โดยตามสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ ให้โจทก์ก่อสร้างพื้นถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก สร้างท่อระบายน้ำ สร้างคันหิน สร้างทางเท้าปูกระเบื้อง สร้างท่อลอดถนน สร้างเขื่อนกันดิน ผู้ว่าจ้างจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับจ้างเป็นรายเดือนตามผลงาน ค่างานทั้งหมดตามสัญญาไม่เกิน ๒๐,๕๓๘,๐๐๐ บาท กำหนดแล้วเสร็จตามสัญญาในวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ หากเสร็จล่วงเลยเวลาถูกปรับเป็นรายวันวันละ ๔,๕๐๐ บาท ส่วนตามสัญญาที่ ๑๔๕/๒๕๒๑ ให้โจทก์ก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กสร้างคันหิน สร้างทางเท้าปูกระเบื้อง ในวงเงินไม่เกิน ๙,๓๐๙,๑๘๘ บาท จำเลยที่ ๑ จะจ่ายเงินให้โจทก์เป็นรายเดือนตามผลงานโดยจะต้องแล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๒๒และโจทก์ต้องลงมือทำงานภายในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๑ หากเสร็จล่วงเลยเวลาถูกปรับวันละ ๔,๕๐๐ บาท การก่อสร้างตามสัญญาที่ ๑๔๕/๒๕๒๑ เป็นการกระทำต่อเนื่องจากสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ ทั้งสองสัญญาจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้จำเลยที่ ๓, ๔ และ ๕ เป็นกรรมการตรวจการจ้างและมอบให้จำเลยที่ ๖, ๗, ๘ และ ๙เป็นผู้ควบคุมงานรับผิดชอบโดยตรง โจทก์ได้เข้าทำการก่อสร้างตามสัญญาทันที แต่ก็ได้พบอุปสรรคขัดขวางการทำงานของโจทก์ โดยไม่ใช่ความผิดของโจทก์ แต่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยทั้งเก้า ต่อมาวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ ลดระดับถนนลง ลดเวลาการทำงานตามสัญญาจาก ๓๐๐ วัน เหลือ ๒๙๕ วันแก้ไขเนื้องานและเงินตามสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ เป็นเงินตามสัญญา ๒๐,๒๑๐,๑๖๐.๗๕ บาทวันสิ้นสุดสัญญาเป็นวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ และได้มีการทำสัญญาแก้ไขสัญญาที่ ๑๔๕/๒๕๒๑เพิ่มเติมอีก เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๒๒ เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑โจทก์ได้ทำการก่อสร้าง ส่งมอบงานและขอเบิกเงินค่าก่อสร้างตามสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ และ๑๔๕/๒๕๒๑ โดยส่งมอบงานและขอเบิกเงินจากจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ และสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมรวม ๘ ครั้ง รวมขอเบิก ๒๐,๔๖๑,๗๒๕.๕๕ บาท จำเลยที่ ๑ จ่ายให้โจทก์จำนวน ๑๘,๕๒๖,๗๒๕.๕๕ บาท จำเลยที่ ๑ หักไว้อ้างว่าเป็นค่าปรับจำนวนทั้งสิ้น๑,๙๓๕,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิจะหักไว้ และโจทก์ขอเบิกตามสัญญาที่ ๑๔๕/๒๕๒๑และสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมจำนวน ๖ ครั้ง รวมขอเบิก ๘,๙๔๓,๖๐๔ บาท จำเลยที่ ๑ จ่ายให้โจทก์ ๘,๑๒๖,๕๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ หักไว้ อ้างว่าเป็นค่าปรับสร้างเกินกำหนดสัญญาจำนวนเงิน๒,๖๒๖,๑๐๔ บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้จำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิจะหักไว้ ต่อมาวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๒๓โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ ครั้งที่ ๒ แก้ไขวงเงินเป็น๒๐,๔๖๑,๗๒๕.๕๕ บาท และแก้ไขวันก่อสร้างแล้วเสร็จเป็น ๒๙๘ วัน ครบกำหนดวันที่ ๑๗พฤศจิกายน ๒๕๒๑ และวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ ๑๔๕/๒๕๒๑ ครั้งที่ ๒ แก้ไขวงเงินเป็น ๙,๑๗๔,๘๐๔ บาท และแก้วันก่อสร้างให้เสร็จเป็น๓๓๔ วัน ครบกำหนดวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๒๒ เป็นการเอาเปรียบโจทก์แต่ฝ่ายเดียว ทั้งที่จำเลยที่ ๑ ทราบว่าอุปสรรคที่เกิดขึ้นจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดชอบ การกำหนดเวลาดังกล่าวในสัญญาจึงไม่มีผลใช้บังคับและโจทก์ไม่ได้ผิดนัดผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิที่จะอ้างเป็นการชำระค่าปรับ โจทก์ได้ทวงถามแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ขอให้พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินที่ค้างตามสำนวนแรกจำนวน ๑,๙๓๕,๐๐๐ บาท ตามสำนวนหลังจำนวน ๒,๖๒๖,๑๐๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๗ ในสำนวนแรกขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยนอกนั้นทั้งสองสำนวนให้การเป็นใจความว่า จำเลยทั้งเก้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยสุจริตถูกต้องตามระเบียบแบบแผนของทางราชการทุกประการ อุปสรรคตามที่โจทก์กล่าวอ้างมิได้เป็นอุปสรรคการทำงานของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ก็ได้ต่ออายุสัญญาในเหตุดังกล่าวให้ตามสมควรแล้ว เหตุทำงานล่าช้าของโจทก์ เพราะโจทก์ลงมือทำงานล่าช้ามาก
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินค่าก่อสร้างทั้งสองสำนวน(สองสัญญา) เป็นเงินรวม ๓,๗๖๒,๐๐๐ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิปรับโจทก์เนื่องจากมีอุปสรรคที่ทำให้การก่อสร้างต้องล่าช้าซึ่งมิใช่ความผิดของโจทก์เกิดขึ้นหลายประการ ในเรื่องเกี่ยวกับอุปสรรคที่โจทก์กล่าวอ้างนั้น แม้รับฟังได้ว่ามีอุปสรรคบางประการมิใช่ความผิดของโจทก์เกิดขึ้นจริง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าก่อนครบกำหนดสิ้นสุดสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑โจทก์มีหนังสือลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๑ ไปยังจำเลยที่ ๑ เพื่อขอต่ออายุสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๖๔ จำเลยที่ ๑ ได้เรียกโจทก์ไปทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ ครั้งที่ ๑เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ แม้จะมีการลดเวลาก่อสร้างลงอีกถึง ๕ วัน และขณะนั้นเหลือเวลาอีกเพียง ๑๔ วัน ก็จะถึงวันสิ้นสุดสัญญาที่แก้ไขใหม่ แต่โจทก์กลับยอมลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวโดยดี และแม้ต่อมาหลังจากครบกำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๑แล้ว โจทก์มีหนังสือลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ ถึงจำเลยที่ ๑ ขอให้พิจารณาต่ออายุสัญญาที่๓๒/๒๕๒๑ อีกครั้งหนึ่ง ตามเอกสารหมาย จ.๖๓ แต่เมื่อจำเลยที่ ๑ เรียกโจทก์ไปทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๒๓ ซึ่งขณะนั้นโจทก์ทำการก่อสร้างตามสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ เสร็จแล้ว สัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับหลังนี้เพิ่มเวลาก่อสร้างเพียง ๓ วัน โจทก์ย่อมต้องทราบแล้วว่าระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นนั้นน้อยกว่าเวลาที่โจทก์ใช้จริงมากและก่อนหน้านั้นจำเลยที่ ๑ หักค่าปรับจากเงินค่าจ้างแต่ละงวดที่จ่ายให้โจทก์ไปแล้วเป็นเงินจำนวนมาก แต่โจทก์กลับยอมลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ ครั้งที่ ๒ โดยดีอีกเช่นกัน ส่วนการก่อสร้างตามสัญญาที่ ๑๔๕/๒๕๒๑ ซึ่งเป็นการก่อสร้างต่อเนื่องจากสัญญาที่๓๒/๒๕๒๑ นั้นสัญญาฉบับนี้กำหนดไว้ว่า ต้องลงมือก่อสร้างหลังจากสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ ทำการก่อสร้างไปแล้ว ๑๗๐ วัน และปรากฏว่าการก่อสร้างตามสัญญาฉบับนี้ล่าช้ากว่ากำหนดเช่นเดียวกับสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ แม้น่าเชื่อว่าอุปสรรคที่ทำให้การก่อสร้างตามสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ ล่าช้า มีผลทำให้การก่อสร้างตามสัญญาฉบับนี้ล่าช้าไปด้วย แต่เมื่อจำเลยที่ ๑ เรียกไปทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ ๑๔๕/๒๕๒๑ ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ ซึ่งขณะนั้นโจทก์ทำการก่อสร้างตามสัญญาฉบับนี้เสร็จแล้ว สัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้เพิ่มเวลาการก่อสร้างให้โจทก์อีกเพียง ๑๒๗ วันโจทก์ย่อมต้องทราบแล้วว่าระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นนั้นน้อยกว่าเวลาที่โจทก์ใช้จริงมาก และก่อนหน้านั้นจำเลยที่ ๑ หักค่าปรับจากเงินค่าจ้างแต่ละงวดที่จ่ายให้โจทก์ไปแล้วเป็นเงินจำนวนมาก แต่โจทก์ยังคงยอมลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ ๑๔๕/๒๕๒๑ ครั้งหลังนี้โดยดีอีกเช่นกัน พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ยอมรับกำหนดเวลาสิ้นสุดสัญญาในสัญญาทุกฉบับที่ทำกับจำเลยที่ ๑ และไม่ติดใจในเงินค่าปรับที่ต้องถูกหักจากค่าจ้างตามสัญญา มิฉะนั้นโจทก์คงไม่ยอมลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับและยอมให้จำเลยที่ ๑ หักเงินไว้เป็นค่าปรับตอนจ่ายเงินค่าจ้างแต่ละงวดโดยดี โดยเฉพาะขณะที่ทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาทั้งสองฉบับครั้งสุดท้ายโจทก์ส่งมอบงานงวดสุดท้ายตามสัญญาทั้งสองฉบับแล้วและได้รับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายไปแล้ว หากโจทก์ยังติดใจเรื่องกำหนดเวลาสิ้นสุดสัญญาและค่าปรับ โจทก์น่าจะทำความตกลงในเรื่องดังกล่าวกับจำเลยที่ ๑ ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน เพราะไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องรีบลงนามในสัญญาเนื่องจากขณะนั้นไม่มีผลประโยชน์ที่โจทก์อาจต้องสูญเสียอีกแล้ว โจทก์เพิ่งโต้แย้งเรื่องเงินค่าปรับเมื่อจำเลยที่ ๑ มีหนังสือลงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๔ แจ้งว่าจะต่ออายุสัญญาที่ ๓๒/๒๕๒๑ ให้โจทก์อีก ๘๕ วัน ซึ่งมีผลทำให้โจทก์ได้ค่าปรับคืน ๘๕ วัน ตามเอกสารหมาย จ.๗๖ และนำคดีมาฟ้องขอคืนค่าปรับตามสัญญาทั้งสองฉบับทั้งหมดโดยอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิปรับ แต่เมื่อโจทก์ยอมทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาทั้งสองฉบับกับจำเลยที่ ๑ และมีพฤติการณ์ที่แสดงว่า โจทก์มิได้ติดใจเงินค่าปรับมาก่อน ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนั้นน่าเชื่อว่าเป็นเพราะหากปฏิบัติตามสัญญาต่อไป โจทก์ยังมีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างตามสัญญาเป็นจำนวนมาก โจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาทั้งสองฉบับที่ทำกับจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกคืนค่าปรับที่จำเลยที่ ๑ หักไว้ อย่างไรก็ตามคดีนี้โจทก์ฟ้องขอคืนค่าปรับทั้งหมด จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ยอมคืนค่าปรับให้โจทก์ ๘๕ วัน ซึ่งคิดเป็นเงิน ๓๘๒,๕๐๐ บาท แม้ในฎีกาของจำเลยที่ ๑ ก็มีข้อความยืนยันว่ายอมคืนค่าปรับจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ จึงต้องคืนค่าปรับที่หักไว้จำนวน ๓๘๒,๕๐๐ บาทแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๓๘๒,๕๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์.