คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5364/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีก่อนศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับเหตุหย่าที่ว่าโจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปีนั้น แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องและจำเลยให้การปฏิเสธ อันเป็นประเด็นแห่งคดีแต่ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเกี่ยวกับการหย่าไว้เพียงว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าหรือไม่แต่เพียงประการเดียวเท่านั้นโดยโจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ถือได้ว่าโจทก์จำเลยต่างสละสิทธิไม่ติดใจในประเด็นเกี่ยวกับเหตุหย่าที่ว่าโจทก์จำเลยแยกกันอยู่อีกต่อไป ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ย่อมเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ฎีกาของจำเลยในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าในคดีดังกล่าวได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นของเหตุหย่าที่ว่าโจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปีหรือไม่ โจทก์จึงนำเอาเหตุเพราะสมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี มาฟ้องหย่าจำเลยเป็นคดีนี้ได้อีก ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยา มีบุตรด้วยกัน 2 คน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2535 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง นับแต่มีเหตุบาดหมางกันจนถึงวันฟ้องโจทก์จำเลยมิได้อยู่ร่วมกัน และไม่เคยไปมาหาสู่กันเกินกว่า 5 ปีแล้ว ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกิน 3 ปี ขอให้พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตาม ขอถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงหรือสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขดำที่ 176/2535 ของศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 176/2535 หมายเลขแดงที่ 450/2536 ของศาลเยาวชนและครอบครัวกลางหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5289/2538 เอกสารหมาย จ.4 ซึ่งเป็นคดีก่อน โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับเหตุหย่าที่ว่าโจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปี แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องและจำเลยให้การปฏิเสธ อันเป็นประเด็นแห่งคดี แต่ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเกี่ยวกับการหย่าไว้เพียงว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าหรือไม่แต่เพียงประการเดียวเท่านั้นโดยโจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ถือได้ว่าโจทก์จำเลยต่างสละสิทธิไม่ติดใจในประเด็นเกี่ยวกับเหตุหย่าที่ว่าโจทก์จำเลยแยกกันอยู่อีกต่อไป ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ย่อมเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาฎีกาของโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ดังนี้ย่อมถือไม่ได้ว่าในคดีก่อนได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นของเหตุหย่าที่ว่าโจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปี แล้ว โจทก์จึงนำเอาเหตุหย่าเพราะสมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี มาฟ้องหย่าจำเลยเป็นคดีนี้ได้อีก ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่งแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปมีว่า โจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปี หรือไม่ โจทก์เบิกความว่า โจทก์จำเลยตกลงแยกกันอยู่และได้ทำบันทึกข้อตกลงไว้ที่กองบินกรมตำรวจด้วย แต่จำเลยไม่ยอมลงลายมือซื่อในบันทึกดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.3 และได้นำร้อยตำรวจเอกจิระ มุกดารา มาเป็นพยานเบิกความว่าระหว่างที่ร้อยตำรวจเอกจิระปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวรกองบังคับการ กองบินตำรวจได้รับแจ้งว่ามีการงัดบ้านโจทก์จึงไปที่บ้านหลังดังกล่าวพบจำเลย จำเลยแจ้งว่าโจทก์พาหญิงอื่นมางัดบ้านจะเข้าไปพัก แต่ตรวจดูแล้วไม่มีรอยงัด และไม่พบโจทก์ จึงให้สิบเวรตามหาโจทก์จนพบแล้วโจทก์จำเลยโต้เถียงกัน ในที่สุดมีการตกลงกันว่าจะแยกกันอยู่ ร้อยตำรวจเอกจิระจึงให้โจทก์จำเลยไปลงบันทึกประจำวันที่กองบังคับการ กองบินตำรวจ และให้โจทก์จำเลยไปลงลายมือชื่อในบันทึกที่ร้อยตำรวจเอกจิระรายงานถึงผู้บังคับบัญชาตามเอกสารหมาย จ.3 แต่จำเลยไม่ยอมไปลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ส่วนจำเลยเบิกความว่าหลังจากจำเลยจับได้ว่าโจทก์ไปได้หญิงอื่นเป็นภริยา จำเลยได้ขอร้องให้โจทก์เลิกกับหญิงคนนั้น ซึ่งโจทก์ขอเวลาที่จะเลิกกับหญิงดังกล่าว และรับปากว่าจะส่งเสียบุตรเดือนละ 3,000 บาท แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม จำเลยจึงไปร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์จนโจทก์ถูกตั้งกรรมการสอบสวนและถูกลงโทษทางวินัยตามเอกสารหมาย ล.10 ถึง ล.12 ในระหว่างนั้นจำเลยได้รับการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีและได้ไปพักฟื้นที่บ้านมารดาจำเลย หลังจากนั้นได้กลับไปที่บ้านพักกองบินตำรวจทราบว่า โจทก์พาหญิงอื่นเข้ามาอยู่ด้วยจึงไปแจ้งผู้บังคับบัญชาของโจทก์ และเจ้าหน้าที่กองบินตำรวจได้จัดให้จำเลยอยู่ในบ้านพักตามเดิม แต่โจทก์ได้ขนของออกไปจึงได้ทำบันทึกไว้ตามเอกสารหมาย ล.13 และ ล.14 ศาลฎีกาพิเคราะห์เอกสารหมาย จ.3 และ ล.10 ถึง ล.14 ประกอบคำเบิกความของโจทก์ จำเลยและพยานโจทก์ดังกล่าวแล้วเห็นว่า เอกสารหมาย จ.3 ได้ทำขึ้นเนื่องมาจากวันที่ 26 ตุลาคม 2534 จำเลยร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่า โจทก์นำหญิงอื่นเข้ามาพักอาศัยในบ้านพัก ทำให้จำเลยไม่สามารถเข้าพักได้ เมื่อผู้บังคับบัญชารับทราบปัญหาของโจทก์จำเลยแล้วได้ให้โจทก์จำเลยเขียนบันทึกแสดงความต้องการเสนอในวันที่ 27 ตุลาคม 2534 และได้บันทึกไว้ในรายงานประจำวันตามเอกสารหมาย ล.13 และในบันทึกดังกล่าวได้ระบุว่าจำเลยขอกลับไปอาศัยกับญาติก่อนเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาได้มีเวลาพิจารณาหาทางเลือกที่ดีที่สุด ต่อมาในวันที่ 27 ตุลาคม 2534 ฝ่ายโจทก์จึงได้ทำบันทึกเอกสารหมาย จ.3 เพื่อให้จำเลยลงลายมือชื่อแต่จำเลยไม่ยอมลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่สมัครใจที่จะแยกกันอยู่กับโจทก์ ประกอบกับเมื่อจำเลยทราบว่า โจทก์ไปมีภริยาใหม่ก็ได้ร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์จนโจทก์ถูกตั้งกรรมการสอบสวนและถูกลงโทษทางวินัยตามเอกสารหมาย ล.10 ถึง ล.12 พฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นว่า จำเลยไม่สมัครใจที่จะแยกกันอยู่กับโจทก์จึงไม่เป็นเหตุหย่าที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share