แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์มอบอำนาจให้ข. ฟ้องคดีแทนแต่หนังสือมอบอำนาจไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ย่อมฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ข.จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์โดยยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดีข้ออื่นดังนั้นฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144เมื่อขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ถึงแม้คดีก่อนจะยังอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แต่คู่ความก็มิได้ยื่นอุทธรณ์จึงถือไม่ได้ว่าคดีก่อนนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสอง(1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ส่วนจำเลยทั้งสองก็เป็นเจ้าของที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์อยู่ติดกับที่ดินโจทก์ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในที่ดินจำเลยทั้งสองมีลำธารธรรมชาติจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ยาวประมาณ200 เมตร ฤดูทำนา ผู้ทำนาในที่ดินโจทก์และที่ดินใกล้เคียงได้ระบายน้ำที่เหลือจากการใช้ทำนาไหลผ่านที่ดินจำเลยทั้งสองไปตามลำรางสู่บึงสาธารณะ ทางระบายน้ำดังกล่าวจึงตกเป็นภารจำยอม ต่อมาจำเลยทั้งสองดันดินถมบริเวณลำรางปิดกั้นทางระบายน้ำเป็นเหตุให้โจทก์และผู้ทำนาที่ใกล้เคียงได้รับความเสียหายในการใช้ประโยชน์ในที่ดินและจำเลยทั้งสองใช้รถไถนาดันดินด้านที่ติดกับที่ดินโจทก์ให้เป็นแนวคันนายาวตลอดเขตที่ดินจำเลยทั้งสองสูงและกว้างกว่าปกติมาก ทำให้ที่ดินโจทก์ถูกน้ำท่วมเสียหายไม่สามารถปลูกข้าวได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขุดเปิดทางระบายน้ำ ให้ทำคันนาของโจทก์กลับคืนสู่สภาพเดิมให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนให้ทางระบายน้ำในที่ดินจำเลยทั้งสองตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายสำหรับฤดูการทำนาปี 2532 เป็นเงิน 44,800 บาท และในปีต่อ ๆ ไปอีกปีละ 44,800 บาท จนกว่าคดีจะถึงที่สุดแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินจำเลยทั้งสองไม่มีลำรางธรรมชาติและไม่เคยมีผู้ทำนาคนใดระบายน้ำผ่านที่ดินจำเลยทั้งสองสู่บึงสาธารณะ ที่ดินแต่ละแปลงที่อยู่โดยรอบที่ดินจำเลยทั้งสองต่างมีทางระบายน้ำของตนเองที่ดินจำเลยทั้งสองจึงไม่ใช่ภารยทรัพย์ จำเลยทั้งสองไม่ได้ดันดินถมบริเวณทางระบายน้ำและไม่เคยคันนาแนวเขตที่ดินจำเลยทั้งสองให้สูงและกว้างกว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองด้วยมูลเหตุแห่งคดีอย่างเดียวกันปรากฎตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่729/2532 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2532 โจทก์กลับนำคดีมาฟ้องใหม่เมื่อวันที่20 ธันวาคม 2532 อันเป็นระยะเวลาที่คดีเดิมยังไม่ถึงที่สุด ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนและดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 2 ภริยาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองขุดเปิดทางระบายน้ำตรงเขตติดต่อกับที่ดินของโจทก์ตลอดแนวที่ดินจำเลยทั้งสองให้จำเลยทั้งสองทำคันนาของโจทก์ให้คืนสู่สภาพเดิม และให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมทางระบายน้ำดังกล่าว หากจำเลยทั้งสองไม่ไปจัดการจดทะเบียนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 8,000 บาท นับแต่ปี 2532เป็นต้นไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่729/2532 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายขจรฤทธิ์ บุญพัฒน์ฟ้องคดีแทน แต่หนังสือมอบอำนาจไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ย่อมฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ นายขจรฤทธิ์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์โดยยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดีข้ออื่น ดังนั้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาช้ากับคดีก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ถึงแม้จะยังอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ แต่คู่ความกู้มิได้ยื่นอุทธรณ์ จึงถือไม่ได้ว่าคดีก่อนนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง(1)
พิพากษายืน