แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทแก่ พ. แต่ พ. ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 ยังคงครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา ต่อมา พ. ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ แต่ก็เป็นเพียงดำเนินการทางทะเบียนเท่านั้น โจทก์ยังมิได้ครอบครองที่ดินพิพาท การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์อันจะเป็นความผิดฐานบุกรุกได้ และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดเช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปทำงานในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1738 ตำบลวังพญา อำเภอรามัน จังหวัดยะลาของโจทก์เพื่อถือการครอบครองทีดินโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365(2), 83 จำคุกคนละ 6 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2514 จำเลยที่ 2 ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทแก่นายพีรภัทร แซ่หว่อง มีกำหนด 1 ปี จำเลยที่ 2 มิได้ไถ่ภายในกำหนด วันที่ 9 กรกฎาคม 2539 นายพีรภัทรขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ต่อมาในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องโจทก์จะดำเนินการถมดินในที่ดินพิพาทปรากฏว่าจำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทอยู่และไม่ยอมให้โจทก์ถมดิน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่เห็นว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 หลังจากทำสัญญาขายฝากแก่นายพีรภัทรแล้ว จำเลยที่ 2 ได้มอบที่ดินพิพาทให้นายพีรภัทรครอบครองหรือไม่ ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏตัวโจทก์เองเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า นายพีรภัทรย้ายไปอยู่จังหวัดนครปฐมตั้งแต่ปี 2530 แล้ว แสดงว่านายพีรภัทรมิได้ครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองมีตัวจำเลยทั้งสองเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทเป็นประกันการติดตั้งไฟฟ้าในหมู่บ้าน นายพีรภัทรไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยที่ 2 ยังคงครอบครองทำประโยชน์และเสียภาษีบำรุงท้องที่ในที่ดินพิพาทตลอดมากับมีนายดือเระ กรูมอ เบิกความสนับสนุนและมีใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่เอกสารหมาย ล.5 มายืนยัน ศาลฎีกาเชื่อว่า จำเลยที่ 2 ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมามิได้มอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นายพีรภัทร แม้นายพีรภัทรขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ก็เพียงดำเนินการทะเบียนเท่านั้น โจทก์ยังมิได้ครอบครองที่ดินพิพาท การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ไม่มีความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน