คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536-560/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์คัดค้านว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นโมฆะเพราะมีจำเลย 5 ราย ไม่ได้เซ็นชื่อในใบแต่งทนายนั้น เมื่อปรากฏในสำนวนว่าศาลชั้นต้นได้เรียกจำเลยสอบสวนแล้ว ว่าจำเลยทั้ง 5 ได้เซ็นชื่อในใบแต่งทนาย มิใช่ลายเซ็นปลอมดังนี้ ศาลอุทธรณ์ ก็มิจำต้องสั่งคำร้องของของโจทก์นั้นประการใดอีก
การที่โจทก์กับทนายจำเลยทำสัญญาประนีประนอมกัน โดยให้โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาเรื่องปลอมหนังสือ แล้วจำเลยจะถอนฟ้องอุทธรณ์คดีนั้นโจทก์ได้ถอนฟ้องคดีอาญาแล้วและทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องอุทธรณ์ แต่ตัวจำเลยได้ทำคำร้องขอถอนทนายเสียและไม่ยอมถอนฟ้องอุทธรณ์นั้น ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องอุทธรณ์ได้
จำเลยหลายสำนวน ซึ่งศาลชั้นต้นได้รวมพิจารณาและพิพากษาฉบับเดียวได้ยื่นฟ้องอุทธรณ์รวมมาฉบับเดียวกัน ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นอุทธรณ์ ส่งสำเนาให้โจทก์ แม้จะปรากฏว่าคดีทั้งหมดนี้เป็นคดีสามัญเพียง 2 สำนวน นอกนั้นเป็นคดีมโนสาเร่ อันคู่ความจะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงไม่ได้ก็ดี แต่เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านโต้แย้งความข้อนี้ในชั้นอุทธรณ์จนกระทั่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นเหตุให้คดีฎีกาขึ้นมาได้ เพราะไม่ต้องห้ามแล้วเช่นนี้ โจทก์จะโต้แย้งในชั้นศาลฎีกา ให้ศาลฎีกากลับไปพิจารณาถึงการรับอุทธรณ์ว่าเป็นการชอบหรือไม่ชอบไม่ได้ เพราะไม่มีประเด็นข้อนี้ในชั้นศาลฎีกาแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่าห้องแถวของศาสนสมบัติหน้าวัดโพธิ์ สำหรับเช่าช่วงจำเลยทั้ง 25 รายนี้ ต่างได้เช่าห้องแถวรายนี้ ต่อมาจำเลยไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนดผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า 2 คราวติดกัน โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่

ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษาขับไล่จำเลย

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยไม่ได้ผิดนัดชำระค่าเช่า จึงพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหลายประการ

ศาลฎีกา เห็นว่า ฎีกาข้อ 1 ที่ว่าศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งคำร้องของโจทก์ ที่คัดค้านว่าอุทธรณ์ จำเลยเป็นโมฆะ เพราะมีจำเลย 5 รายไม่ได้เซ็นชื่อในใบแต่งทนายนั้น ก็ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้เรียกจำเลยมาสอบถาม ปรากฏอยู่ในสำนวนแล้วว่า จำเลยทั้ง 5 ได้เซ็นชื่อในใบแต่งทนายมิใช่ลายเซ็นปลอม

ฎีกาข้อ 2 ที่ว่าโจทก์กับหลวงเจริญฯ ทนายจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมให้โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาเรื่องปลอมหนังสือ และจำเลยจะถอนฟ้องอุทธรณ์คดีนี้ จนโจทก์ได้ถอนฟ้องคดีอาญาแล้ว แต่ทนายจำเลยกลับทำอุบายนำคำร้องขอถอนอุทธรณ์ไปยื่น แล้วจำเลยทำคำร้องขอถอนหลวงเจริญฯ ออกจากเป็นทนาย เป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องนั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลยอีก กรณีหนึ่งต่างหากไม่เกี่ยวแก่การวินิจฉัยประเด็นในคดีนี้

ฎีกาข้อ 3 ที่ว่าคดี 25 สำนวนนี้เป็นคดีสามัญ เพียง 2 สำนวนนอกนั้นเป็นคดีมโนสาเร่ ซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ แต่ศาลอุทธรณ์กลับรับพิจารณาพิพากษาทั้ง 25 สำนวนเป็นการไม่ชอบนั้น ปรากฏว่าจำเลยทั้ง 25 สำนวนยื่นฟ้องอุทธรณ์มาฉบับเดียวกัน ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นอุทธรณ์ ส่งสำเนาให้โจทก์ ๆมิได้คัดค้านโต้แย้งความข้อนี้ในชั้นแก้อุทธรณ์ ฉะนั้นความข้อนี้จึงได้ผ่านพ้นการวินิจฉัยศาลอุทธรณ์มาจนกระทั่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นเหตุให้คดีฎีกาขึ้นมาได้ เพราะไม่ต้องห้าม เช่นนี้ศาลฎีกาจะกลับไปพิจารณาถึงการรับอุทธรณ์ว่าเป็นการชอบหรือไม่ไม่ได้ เพราะไม่มีประเด็นในชั้นศาลฎีกาแล้ว

ส่วนในข้อเท็จจริง คงฟังว่า จำเลยไม่ได้ผิดนัดในการชำระค่าเช่า จึงพิพากษายืน

Share