แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สำนักงานของจำเลยรับจัดหางานให้แก่ผู้มาสมัครเข้ารับการอบรมวิชาชีพโดยรับจะฝากเข้าทำงานในสำนักงาน องค์การหรือห้างร้านบริษัทต่างๆ การกระทำเช่นนี้ย่อมได้ชื่อว่าเป็นคนกลางระหว่างนายจ้างผู้ต้องการลูกจ้างกับลูกจ้างผู้ต้องการหางานทำโดยคนกลางจะทำให้เปล่าหรือคิดสินจ้างก็ตามหรือแม้จำเลยจะตั้งชื่อสำนักงานนี้เพี้ยนไปว่า’สำนักงานส่งเสริมอาชีพ’ ก็ตามหรือแม้ถึงว่าจำเลยจะอ้างว่าสำนักงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทจำกัด สำนักงานนี้ก็คงเป็น ‘สำนักงานจัดหางาน’ ตามความหมายใน มาตรา 3 แห่ง พระราชบัญญัติว่าด้วยสำนักงานจัดหางาน พ.ศ.2475
จำเลยวางแผนหลอกลวงเพื่อฉ้อโกงเอาเงินประชาชนทั่วๆ ไปโดยพิมพ์ใบปลิวโฆษณาข้อความอันเป็นเท็จให้ประชาชนหลงเชื่อเพื่อมาสมัครรับการอบรมวิชาชีพโดยทุกคนต้องส่งมอบเงินให้แก่จำเลยด้วยเมื่อมีผู้หลงเชื่อมาสมัครจำเลยก็ให้ส่งมอบเงินให้แก่จำเลย แล้วจำเลยก็หาได้ทำการอบรมเป็นกิจลักษณะอย่างใดไม่จนเป็นที่เห็นว่าผู้สมัครเหล่านั้นจะไม่ได้งานทำตามที่จำเลยโฆษณาไว้ให้หลงเชื่อครั้นขอเงินคืน จำเลยก็ไม่มีเงินจะคืนให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
ย่อยาว
คดี 2 สำนวนนี้ พิจารณาพิพากษารวมกัน
ได้ความว่า จำเลยวางแผนหลอกลวงเพื่อฉ้อโกงเอาเงินประชาชนทั่ว ๆ ไป โดยพิมพ์ใบปลิวโฆษณาข้อความอันเป็นเท็จให้ประชาชนหลงเชื่อเพื่อมาสมัครรับการอบรมวิชาชีพโดยต้องส่งมอบเงินให้แก่จำเลยทุกคนด้วยเมื่อมีผู้หลงเชื่อมาสมัคร จำเลยก็ให้ส่งมอบเงินแล้วจำเลยก็หาได้ทำการอบรมเป็นกิจลักษณะอย่างใดไม่จนเป็นที่เห็นว่าผู้สมัครเหล่านั้นจะไม่ได้งานทำตามที่จำเลยโฆษณาไว้ให้หลงเชื่อ ครั้นขอเงินคืน จำเลยก็ไม่มีเงินจะคืนให้
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลทั้งสองว่า จำเลยผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343, 83 จำคุกคนละ 1 ปี และผิดฐานประกอบกิจการในทางสำนักงานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยสำนักงานจัดหางาน พ.ศ. 2475 มาตรา 15, 16 (ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2476)ปรับคนละ 600 บาท คำเบิกความของจำเลยชั้นพิจารณามีประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษลงคนละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 8 เดือน และปรับคนละ 400 บาท ถ้าไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตาม มาตรา 29, 30 กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 5,600 บาท แก่เจ้าทรัพย์ด้วย
ข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาว่า สำนักงานส่งเสริมอาชีพที่จำเลยจัดตั้งขึ้น ไม่เป็นสำนักงานจัดหางานตามความหมายใน พระราชบัญญัติว่าด้วยสำนักงานจัดหางาน พ.ศ. 2475 เพราะจำเลยมิได้มุ่งหวังผลตอบแทนเป็นบำเหน็จหรือเป็นค่านายหน้า เงินที่เรียกจากผู้มาสมัครก็เพื่อเป็นประกันความเสียหายในระหว่างอบรมการปฏิบัติงาน ทั้งสำนักงานนี้หาเป็นเอกเทศไม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทธนกิจจำกัด นั้น ศาลฎีกาเห็นชอบด้วยคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าสำนักงานของจำเลยที่จัดตั้งขึ้นนี้เป็น “สำนักงานจัดหางาน” ตามความหมายใน มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยสำนักงานจัดหางาน พ.ศ. 2475 เพราะแม้จำเลยจะตั้งชื่อสำนักงานนี้เพี้ยนไปว่า”สำนักงานส่งเสริมอาชีพ” ก็ตาม ข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า สำนักงานของจำเลยนี้ รับจัดหางานให้แก่ผู้มาสมัครเข้ารับการอบรมวิชาชีพโดยรับจะฝากเข้าทำงานในสำนักงาน องค์การหรือห้างร้านบริษัทต่าง ๆ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ย่อมได้ชื่อว่าเป็นคนกลางระหว่างนายจ้างผู้ต้องการลูกจ้าง กับลูกจ้างผู้ต้องการหางานทำ โดยคนกลางจะทำให้เปล่าหรือคิดสินจ้างก็ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมายให้รวมอยู่ในความหมายอันเดียวกัน ส่วนที่จำเลยอ้างว่าสำนักงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทธนกิจจำกัด ก็ไม่เป็นข้อแก้ตัวได้อีก เพราะนอกจากข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าบริษัทนี้ยังหาได้ก่อตั้งขึ้นเป็นบริษัทจำกัดสำเร็จไม่แล้ว ตามกฎหมายว่าด้วยสำนักงานจัดหางานก็มิได้ยกเว้นว่า บริษัทจำกัดจะประกอบกิจการในทางสำนักงานจัดหางานได้โดยมิต้องขอรับอนุญาต
ส่วนฎีกาของจำเลยอีกข้อหนึ่งที่ว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ดังกล่าวข้างต้น ก็จะลงโทษฐานฉ้อโกงในทางอาญามิได้ เป็นเพียงความรับผิดทางแพ่งนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยครบองค์ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ทุกประการแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น