แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เดิม ย. และ อ. ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับ ก. ในที่ดินโฉนดพิพาทต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 สืบสิทธิในที่ดินเฉพาะส่วนของ ย. เนื้อที่ 8 ไร่ 73 ตารางวา จำเลยที่ 12 และที่ 13 สืบสิทธิในที่ดินเฉพาะส่วนของ อ. เนื้อที่ 8 ไร่ 73 ตารางวา การคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจึงต้องถือตามราคาที่ดินในส่วนที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 กับจำเลยที่ 12 และที่ 13 สืบสิทธิมา มิใช่แยกคำนวณตามส่วนที่จำเลยแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยแต่ละคนแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด เมื่อที่ดินพิพาทราคาไร่ละ 50,000 บาท จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งในส่วนของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 กับจำเลยที่ 12 และที่ 13 จึงเกิน 200,000 บาท ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ก. ย. และ อ. ร่วมกันยื่นคำร้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมต่อเจ้าพนักงานที่ดินมีข้อความที่เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกไว้ว่า ให้รังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวม 1 แปลง ทางด้านทิศตะวันออกเนื้อที่ 12 ไร่ เป็นของ ก. ส่วนแปลงคงเหลือเป็นของ ย. และ อ. ผู้ยื่นคำขอต่างลงลายมือชื่อไว้ในบันทึกดังกล่าวต่อหน้าพยานและเจ้าพนักงานที่ดินดังนี้ แม้จะยังไม่มีการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเพราะเจ้าพนักงานที่ดินยกเลิกคำขอไปเมื่อปี 2516 เนื่องจากผู้ขอไม่มาติดต่ออาจเป็นเพราะแบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัดกันแล้วก็เป็นได้ จึงต้องถือว่าบันทึกดังกล่าวเป็นข้อตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมระหว่างเจ้าของรวมตามป.พ.พ. มาตรา 1364 วรรคหนึ่ง
ก. ย. และ อ. แบ่งการครอบครองที่ดินโฉนดพิพาทเป็นส่วนสัดมาตั้งแต่ยื่นคำขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเมื่อปี 2510 แล้ว เมื่อ ย. และ อ. กับจำเลยทั้งสิบสามผู้สืบสิทธิจาก ย. และ อ. ครอบครองที่ดินที่ซื้อจาก ก. โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ครอบครองตามป.พ.พ. มาตรา 1382 อันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม และแม้จำเลยทั้งสิบสามจะยังไม่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ แต่ ธ. และโจทก์ทั้งสองรับโอนที่ดินไว้โดยไม่สุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยไม่สุจริตตามมาตรา 1299 วรรคสอง จำเลยทั้งสิบสามย่อมยกการครอบครองปรปักษ์ที่ดินขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งสองได้
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 1049 ตำบลมอบโป่ง (มาบกระบก) อำเภอพานทอง (ท่าตะกูด) จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 37 ไร่ 3 งาน 28 ตารางวา มีโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสิบสามเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยโจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์คนละครึ่งเนื้อที่รวม 29 ไร่ 11 ตารางวา และร่วมกันครอบครองที่ดินบริเวณทิศเหนือ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ถือกรรมสิทธิ์คนละ 113.6 ตารางวา ส่วนจำเลยที่ 12 และที่ 13 ถือกรรมสิทธิ์คนละ 1 ไร่ 3 งาน 95.5 ตารางวา โจทก์ทั้งสองมีความประสงค์แบ่งแยกกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของตนเพื่อนำที่ดินแบ่งขายแก่ผู้อื่น โดยแจ้งให้จำเลยทั้งสิบสามทราบแล้ว แต่จำเลยทั้งสิบสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบสามทำการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1049 ตำบลมอบโป่ง (มาบกระบก) อำเภอพานทอง (ท่าตะกูล) จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 29 ไร่ 11 ตารางวา ทางด้านทิศเหนือ ตะวันออกและตะวันตกของที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากจำเลยทั้งสิบสามหรือคนใดคนหนึ่งไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ถ้าไม่สามารถแบ่งแยกได้ให้เอาที่ดินแปลงดังกล่าวออกประมูลขายระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสิบสาม หากไม่ตกลงให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งกันตามส่วน
จำเลยทั้งสิบสามให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมนางกิมเสียงหรือสมลักษณ์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินจำนวน 28 ไร่ 1 งาน 46 ตารางวา ส่วนนายยศกับนายอินมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินคนละ 4 ไร่ 2 งาน 91 ตารางวา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2510 นางกิมเสียงได้ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่นายยศและนายอินคนละ 8 ไร่ 73 ตารางวา นางกิมเสียงคงเหลือที่ดินอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเพียงจำนวน 12 ไร่ นายยศกับนายอินที่ดินคนละ 12 ไร่ 3 งาน 64 ตารางวา การซื้อขายที่ดินดังกล่าวนางกิมเสียง นายยศและนายอินได้ทำบันทึกข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์ไว้เป็นหลักฐานนายยศกับนายอินครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของไม่มีบุคคลใดโต้แย้ง นายอินถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 12 และที่ 13 ซึ่งเป็นทายาทครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเฉพาะส่วนของนายอินสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 30 กว่าปี เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2529 นายยศยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 จากนั้นจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ภายหลังจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนของตนได้ ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเนื้อที่ 8 ไร่ 73 ตารางวา ในส่วนของนายยศ กับจำเลยที่ 12 และที่ 13 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเนื้อที่ 8 ไร่ 73 ตารางวา ในส่วนของนายอินโดยการครอบครองปรปักษ์ ให้โจทก์ทั้งสองทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสิบสาม ณ สำนักงานที่ดิน จังหวัดชลบุรี โดยให้โจทก์ทั้งสองได้รับที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออกจำนวน 12 ไร่ หากโจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นางกิมเสียงมีกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนในที่ดินโฉนดพิพาทก่อนจดทะเบียนโอนขายให้แก่นายเธียรพงษ์ เนื้อที่ 28 ไร่ 1 งาน 64 ตารางวา ซึ่งรับโอนโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินดังกล่าวต่อจากนายเธียรพงษ์โดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตเช่นกัน บันทึกข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์ระหว่างนางกิมเสียงกับนายยศและนายอินไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองจำเลยทั้งสิบสามมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพียง 9 ไร่ 1 งาน 64 ตารางวา ซึ่งอยู่ด้านทิศใต้ของที่ดินโฉนดพิพาทเท่านั้น ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสิบสามจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ 1049 ตำบลมาบโป่ง (มาบกระบอก) อำเภอพานทอง (ท่าตะกูล) จังหวัดชลบุรี บริเวณกรอบเส้นสีน้ำเงินในแผนที่พิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 กับจำเลยที่ 12 และที่ 13 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนในบริเวณหมายเลขที่ 10 พื้นที่กรอบเส้นสีแดงและบริเวณหมายเลข 8 พื้นที่กรอบเส้นสีเหลืองในแผนที่พิพาทตามลำดับ โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นของโจทก์ทั้งสองและคำขอตามฟ้องแย้งอื่นของจำเลยทั้งสิบสามให้ยก
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 โจทก์ที่ 1 ถึงแก่ความตาย นายนิพนธ์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ว่า ให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันมีส่วนในที่ดินโฉนเลขที่ 1049 ตำบลมาบโป่ง (มาบกระบก) อำเภอพานทอง (ท่าตะกูด) จังหวัดชลบุรี จำนวน 28 ไร่ 1 งาน 46 ตารางวา หรือ 11,346 ส่วน ตามการบรรยายส่วนในเอกสารหมาย จ.8 แต่ระหว่างโจทก์ทั้งสองให้มีส่วนเท่าๆ กัน ให้นำที่ดินแปลงนี้ออกประมูลระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสิบสาม หากไม่ตกลงก็ให้นำออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใดแบ่งให้โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสิบสามตามส่วน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสิบสามให้จำเลยทั้งสิบสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยทั้งสิบสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เดิมที่ดินโฉนดพิพาทเนื้อที่ประมาณ 37 ไร่ มีนางกิมเสียงหรือสมลักษณ์ นายยศและนายอิน ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โดยนางกิมเสียงมีกรรมสิทธิ์ 28 ไร่เศษ อยู่ทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตกและทิศเหนือ ที่ดินของนายยศและนายอินอยู่ทางทิศใต้มีกรรมสิทธิ์คนละ 4 ไร่เศษ ปัจจุบันที่ดินเฉพาะส่วนของนายยศเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ที่ดินเฉพาะส่วนของนายอินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 12 และที่ 13 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2533 นางกิมเสียงขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้นายเธียรพงษ์ต่อมาวันที่ 19 พฤศจิกายน 2533 นายเธียรพงษ์ขายต่อให้โจทก์ทั้งสอง มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยทั้งสิบสามต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ เห็นว่า เดิมนายยศและนายอินถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางกิมเสียงในที่ดินโฉนดพิพาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 สืบสิทธิในที่ดินเฉพาะส่วนของนายยศ จำเลยที่ 12 และที่ 13 สืบสิทธิในที่ดินเฉพาะส่วนของนายอิน การคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจึงต้องถือตามราคาที่ดินในส่วนที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 กับจำเลยที่ 12 และที่ 13 สืบสิทธิมามิใช่แยกคำนวณตามส่วนที่จำเลยแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยแต่ละคนแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด เมื่อโจทก์ทั้งสองระบุในคำแก้ฎีกาว่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์และตามฟ้องแย้งราคาตารางวาละ 125 บาท คำนวณแล้วเท่ากับไร่ละ 50,000 บาท จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งในส่วนของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 กับจำเลยที่ 12 และที่ 13 จึงเกิน 200,000 บาท จำเลยทั้งสิบสามไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยทั้งสิบสามว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ครอบครองที่ดินภายในกรอบเส้นสีแดง กับจำเลยที่ 12 และที่ 13 ครอบครองที่ดินภายในกรอบเส้นสีเหลืองตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.21 จนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ และโจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดพิพาทเพียงใด เห็นว่า ที่ดินโฉนดพิพาทมีสภาพเป็นที่นา มีจำเลยทั้งสิบสามครอบครองทำนาและปลูกบ้าน เล้าไก่ เล้าสุกร และต้นไม้ ตลอดจนขุดบ่อน้ำไว้ในที่ดินภายในกรอบเส้นสีน้ำตาล เส้นสีเหลือง เส้นสีดำ และเส้นสีแดงในแผนที่พิพาท เอกสารหมาย จ.21 ส่วนที่ดินภายในกรอบเส้นสีน้ำเงินทางทิศตะวันออกของที่ดินโฉนดพิพาทของโจทก์ทั้งสองมีนายจี๊ดทำนาโดยเช่าจากนางกิมเสียงเจ้าของเดิม และได้ความจากทางนำสืบของจำเลยทั้งสิบสามว่า เดิมที่ดินภายในกรอบเส้นสีเหลืองและเส้นสีแดงเป็นของนางกิมเสียงจริง แต่เมื่อปี 2510 นางกิมเสียงขายที่ดินภายในกรอบเส้นสีเหลืองให้นายอินและขายที่ดินภายในกรอบเส้นสีแดงให้นายยศโดยไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือซึ่งแม้การซื้อขายดังกล่าวตกเป็นโมฆะเพราะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่จำเลยทั้งสิบสามมีจำเลยที่ 8 ที่ 11 และที่ 12 เบิกความเป็นพยานยืนยันว่า หลังจากซื้อขายที่ดินดังกล่าวแล้วนางกิมเสียง นายยศและนายอินต่างแบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัดนับแต่นั้น โดยที่ดินส่วนของนางกิมเสียงอยู่ทางทิศตะวันออกภายในกรอบเส้นสีน้ำเงิน ที่ดินของนายอินอยู่ตรงกลางของที่ดินโฉนดพิพาทที่ดินส่วนของนายยศอยู่ถัดลงมาทางใต้ ทั้งในวันที่ 2 พฤษภาคม 2510 นางกิมเสียง นายยศและนายอินร่วมกันยื่นคำร้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมต่อเจ้าพนักงานที่ดินตามสำเนาบันทึกข้อตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวม (จำกัดเนื้อที่) เอกสารหมาย ล.2 ซึ่งมีข้อความระบุว่าให้รังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวม 1 แปลง ทางด้านทิศตะวันออก เนื้อที่ 12 ไร่ เป็นของนางกิมเสียง ส่วนแปลงคงเหลือเป็นของนายยศและนายอินผู้ยื่นคำขอต่างลงลายมือชื่อไว้ในบันทึกดังกล่าวต่อหน้าพยานและเจ้าพนักงานที่ดิน ซึ่งนายสุรัตน์และนางรุ่งอรุณพนักงานที่ดินประจำสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีเบิกความเป็นพยานโจทก์ทั้งสองรับรองความถูกต้องของเอกสารหมาย ล.2 แล้ว ดังนี้ แม้จะยังไม่มีการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเพราะเจ้าพนักงานที่ดินยกเลิกคำขอไปเมื่อปี 2516 เนื่องจากผู้ขอไม่มาติดต่อ แต่ไม่ปรากฏว่านางกิมเสียง นายยศและนายอินแสดงเจตนาจะยกเลิก การไม่ไปติดต่ออาจเป็นเพราะแบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัดกันแล้วดังจำเลยทั้งสิบสามนำสืบก็เป็นได้ จึงต้องถือว่าบันทึกเอกสารหมาย ล.2 เป็นข้อตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมระหว่างเจ้าของรวมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 วรรคหนึ่ง ย่อมผูกพันนางกิมเสียงนายยศและนายอิน ยังได้ความจากคำเบิกความของนายสุรินทร์พยานโจทก์ทั้งสองผู้ทำแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.21 อีกว่า ที่ดินโฉนดพิพาทมีแนวคันนาสูง มองเห็นชัดเจนเป็นเขตแดนกั้นระหว่างที่ดินภายในกรอบเส้นสีน้ำเงินกับที่ดินภายในกรอบเส้นสีเหลืองและสีส้ม กับมีต้นยูคาลิปตัสแบ่งเป็นแนวเขตชัดเจน มีบ้านของพวกจำเลยปลูกอยู่หลายหลังในบริเวณด้านทิศเหนือและกลางของพื้นที่กับมีบ่อน้ำขุดไว้ เมื่อปรากฏว่าถัดจากที่ดินภายในกรอบเส้นสีน้ำเงินเป็นที่ดินส่วนที่จำเลยทั้งสิบสามครอบครองทำนา โดยนับแต่ยื่นคำขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามเอกสารหมาย ล.2 นางกิมเสียงไม่เคยเสียภาษีบำรุงท้องที่และคงเกี่ยวข้องเฉพาะที่ดินภายในกรอบสีน้ำเงินซึ่งให้นายจี๊ดเช่าทำนาเท่านั้น นอกจากนี้จำเลยทั้งสิบสามมีนายจี๊ดมาเบิกความเป็นพยานสนับสนุนว่า ที่ดินส่วนของนางกิมเสียงคือที่ดินภายในกรอบสีน้ำเงินเพราะเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2532 นางกิมเสียงแบ่งขายที่ดินส่วนที่เหลือดังกล่าวให้นายจี๊ด 1 ไร่ ตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย ล.7 โจทก์ทั้งสองไม่นำสืบโต้แย้งความถูกต้องของเอกสาร เมื่อเอกสารหมาย ล.7 มีข้อความเขียนไว้ชัดเจนว่า นางกิมเสียงหรือสมลักษณ์มีที่ดินทั้งหมด 12 ไร่ แม้จะไม่ระบุเลขที่โฉนดที่ดินพิพาทไว้ในสัญญาดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่านางกิมเสียงมีที่ดินแปลงอื่นอีก จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าที่ดินที่นางกิมเสียงจะขายให้นายจี๊ดคือที่ดินโฉนดพิพาทนั่นเอง ส่วนที่โจทก์ทั้งสองนำสืบโดยมีตัวโจทก์ทั้งสองและนายเธียรพงษ์เบิกความว่า ที่ดินส่วนของนางกิมเสียงมีเนื้อที่ 28 ไร่เศษ นั้น เป็นการกล่าวอ้างตามที่ปรากฎในสารบัญท้ายโฉนดพิพาทและตามที่ให้สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีคำนวณบรรยายส่วนมาในเอกสารหมาย จ.8 และ จ.11 ตามคำสั่งศาลชั้นต้น หาใช่เป็นการยืนยันแน่นอนว่า นางกิมเสียงมีที่ดินตามจำนวนที่คำนวณบรรยายส่วนไว้ไม่ เพราะการบรรยายส่วนกับการครอบครองเป็นส่วนสัดเป็นคนละกรณีกัน เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่มีนางกิมเสียงมาเบิกความสนับสนุน พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสิบสามจึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังว่านางกิมเสียง นายยศและนายอินได้แบ่งการครอบครองที่ดินโฉนดพิพาทเป็นส่วนสัดมาตั้งแต่ยื่นคำขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเมื่อปี 2510 ตามเอกสารหมาย ล.2 แล้ว หาใช่นางกิมเสียง นายยศ นายอินและจำเลยทั้งสิบสามผู้สืบสิทธิจากนายยศและนายอินต่างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดพิพาทตลอดมาไม่ เมื่อนายยศและนายอินกับจำเลยทั้งสิบสามครอบครองที่ดินที่ซื้อจากนางกิมเสียงภายในกรอบเส้นสีเหลืองและเส้นสีแดงโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 อันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม และแม้จำเลยทั้งสิบสามจะยังไม่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ก็ตาม แต่นายเธียรพงษ์และโจทก์ทั้งสองต่างเบิกความรับว่า ก่อนซื้อที่ดินได้ไปดูที่ดินที่ซื้อเห็นมีบ้านปลูกอยู่หลายหลังรวมทั้งบ่อน้ำ บ่งชี้ว่ามีบุคคลอื่นครอบครองทำนาในที่ดินที่ซื้อแต่กลับไม่สอบถามว่าบุคคลนั้นครอบครองโดยอาศัยสิทธิอย่างไร แสดงว่านายเธียรพงษ์และโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินโดยรู้ว่ามีผู้ครอบครอง กรณีถือไม่ได้ว่านายเธียรพงษ์และโจทก์ทั้งสองรับโอนที่ดินโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง จำเลยทั้งสิบสามย่อมยกการครอบครองปรปักษ์ที่ดินภายในกรอบสีเหลืองและเส้นสีแดงขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งสองได้ และฟังว่า นางกิมเสียงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดพิพาทเฉพาะภายในกรอบเส้นสีน้ำเงิน เมื่อนายเธียรพงษ์และโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินส่วนของนางกิมเสียง จึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดพิพาทเฉพาะภายในกรอบเส้นสีน้ำเงินเท่าที่นางกิมเสียงมีกรรมสิทธิ์เช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสิบสามฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ