คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5351/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งสามทำไม้สักในเขตป่าสงวนแห่งชาติและมีไม้สักที่มิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง แม้ไม้สักที่จำเลยทั้งสามทำและมีไว้ในครอบครองจะเป็นจำนวนเดียวกันก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันซึ่งต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ส่วนการทำไม้สักในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 11,73 วรรคสอง มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองแสนบาท และโทษตามพ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติฯ มาตรา 14,31 วรรคสอง มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท ถือว่าโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 11,73วรรคสอง หนักกว่าโทษตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติฯ มาตรา 14,31วรรคสอง จึงลงโทษจำเลยทั้งสามตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ มาตรา 11,73วรรคสอง อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันทำไม้ โดยตัด ฟัน โค่นเลื่อย และชักลากไม้สัก อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.ได้ไม้สักท่อนจำนวน 6 ท่อน ปริมาตร 0.60 ลูกบาศก์เมตร ภายในบริเวณเขตป่าแม่ปูนน้อย อันเป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยมิได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันมีไม้สักท่อนจำนวน 6 ท่อน ปริมาตร 0.60ลูกบาศก์เมตร อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.ดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม้ดังกล่าวไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย และจำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้ดังกล่าวมาโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31, 35พระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 11, 69, 73, 74, 74 จัตวาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 สั่งริบไม้สักท่อน 6 ท่อนของกลางและจ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง, 35พระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 11, 69 วรรคสอง,73 วรรคสอง, 74, 74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91ลักษณะแห่งความผิดยังไม่สมควรลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยที่ 1เรียงกระทงลงโทษ ฐานร่วมกันทำไม้สักโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันมีไม้สักยังมิได้แปรรูปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำคุกคนละ 2 ปี รวม 2 กระทงจำคุกคนละ 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี ของกลางริบ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษฐานมีไม้สักยังมิได้แปรรูป จำคุกคนละ 1 ปี รวมสองกระทง จำคุกคนละ 3 ปีลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยคนละ1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดกรรมเดียวนั้นเห็นว่า การที่จำเลยทั้งสามทำไม้สักในเขตป่าสงวนแห่งชาติและมีไม้สักที่มิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง แม้ไม้สักที่จำเลยทั้งสามทำและมีไว้ในครอบครองจะเป็นจำนวนเดียวกันก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันซึ่งต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้นแต่ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานทำไม้สักในเขตป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง อันเป็นบทหนักที่สุดนั้นไม่ถูกต้อง เพราะบทกฎหมายดังกล่าวมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทแต่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 11, 73 วรรคสองมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองแสนบาท ดังนี้โทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 11, 73 วรรคสอง จึงหนักกว่าโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดฐานทำไม้สักในเขตป่าสงวนแห่งชาตินั้น ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 11, 73 วรรคสอง อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2.

Share