แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยแจ้งข้อความต่อพนักงานสอบสวนขณะปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวรสอบสวน อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ว่า”ภายหลังเกิดเหตุรถชนกันแล้ว ผู้ขับขี่รถสามล้อเครื่องได้หลบหนีไป” ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วคนขับรถสามล้อเครื่องยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยน่าจะทำให้พนักงานสอบสวน หรือประชาชนเสียหาย แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 ผู้ต้องหาจะให้การหรือไม่ให้การเลยก็ได้ เป็นสิทธิของผู้ต้องหาก็ตามแต่ได้ความจากคำร้องขอผัดฟ้องและฝากขังว่า พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอผัดฟ้องและฝากขังจำเลยเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2539 โดยระบุในคำร้องดังกล่าวว่าจำเลยถูกจับเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2539 และถูกกล่าวหาว่าขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายไม่หยุดให้การช่วยเหลือ ไม่แสดงตนและแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ใกล้เคียง และแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นเสียหาย อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43(4),78,157,160 วรรคหนึ่ง และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวตามฟ้องแก่เจ้าพนักงานในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2539 จึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเช่นนั้นแก่เจ้าพนักงานก่อนจำเลยถูกสอบสวนว่าได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 หรือไม่ มิใช่เป็นการให้การของจำเลยในฐานะผู้ต้องหาในความผิดดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวนอันจะทำให้จำเลยไม่มีความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 วรรคแรก, 160 วรรคแรก และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกลงโทษจำคุก 1 เดือน ความผิดฐานแจ้งความเท็จ จำคุก 1 เดือนรวมจำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตา 78 คงจำคุก 1 เดือนให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องความผิดฐานแจ้งความเท็จและรอการลงโทษในความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษในความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 15 วัน ให้ยกฟ้องความผิดฐานแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่า จำเลยมีความผิดฐานแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานหรือไม่ ในปัญหานี้เห็นว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ซึ่งกำหนดอัตราโทษไว้ให้จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับโดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2539 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงจำเลยขับรถยนต์เฉี่ยวชนรถยนต์สามล้อเครื่องของผู้เสียหายทำให้รถยนต์สามล้อเครื่องได้รับความเสียหาย แล้วจำเลยไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายตามสมควรและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทราบในทันที และภายหลังจากที่จำเลยได้กระทำความผิดดังกล่าวแล้ว จำเลยแจ้งข้อความต่อร้อยตำรวจเอกวินัย ชูประเทศ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบุปฝาราม ขณะปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวรสอบสวน อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ว่า “ภายหลังเกิดเหตุรถชนกันแล้วผู้ขับขี่รถสามล้อเครื่องได้หลบหนีไป” ซึ่งเป็นความเท็จความจริงแล้วคนขับรถสามล้อเครื่องยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุการกระทำของจำเลยน่าจะทำให้ร้อยตำรวจเอกวินัยหรือประชาชนเสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง และศาลชั้นต้นได้พิพากษาโดยเห็นสมควรว่าไม่ต้องสืบพยานหลักฐานต่อไป ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบุปผารามซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2539 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยตกเป็นผู้ต้องหาฐานขับรถยนต์เฉี่ยวชนรถยนต์สามล้อเครื่องของบุคคลอื่นเสียหายแล้วไม่ได้หยุดช่วยเหลือผู้เสียหายตามสมควรและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทราบในทันที อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 ผู้ต้องหาจะให้การหรือไม่ให้การเลยก็ได้ เป็นสิทธิของผู้ต้องหา ดังนั้นที่จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนตอบสอบปากคำเบื้องต้น แม้จะไม่เป็นความจริงก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อพนักงาน นั้น ปรากฏว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าต่อมาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2539 เจ้าพนักงานจับจำเลยได้นำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนแล้ว ชั้นแรกจำเลยให้การปฏิเสธพนักงานสอบสวนได้ขอผัดฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น ต่อมาจำเลยให้การรับสารภาพ และได้ความจากคำร้องขอผักฟ้องและฝากขังครั้งที่ 1 ว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบุปฝารามได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอผัดฟ้องและฝากขังจำเลยเมื่อวันที่16 กุมภาพันธ์ 2539 โดยระบุในคำร้องดังกล่าวว่าจำเลยถูกจับเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2539 โดยถูกกล่าวหาว่าขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนทรัพย์สินเสียหายไม่หยุดให้การช่วยเหลือ ไม่แสดงตนและแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงและแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นเสียหาย อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43(4), 78, 157, 160 วรรคหนึ่ง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวตามฟ้องแก่เจ้าพนักงานในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2539จึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเช่นนั้นแก่เจ้าพนักงานก่อนจำเลยถูกสอบสวนว่าได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 หรือไม่ มิใช่เป็นการให้การของจำเลยในฐานะผู้ต้องหาในความผิดดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวนอันจะทำให้จำเลยไม่มีความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 ปรับ 1,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงปรับ 500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์