คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5344/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

กรมธรรม์ประกันภัยระบุข้อยกเว้นที่จำเลยผู้รับประกันภัยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายว่าความเสียหายหรือสูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์โดยบุคคลที่ครอบครองรถยนต์ตามสัญญาเช่าเป็นอันไม่คุ้มครอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ท. และ ข. ทำสัญญาเช่ารถยนต์ไปจากโจทก์ผู้เอาประกันภัย แต่เมื่อถึงกำหนดเวลาเช่าบุคคลทั้งสองไม่นำรถยนต์ไปคืน เนื่องจาก ท. และ ข. ไม่มีเจตนาเช่ารถยนต์ดังกล่าว เหตุที่ทำสัญญาเช่าทรัพย์ก็เพื่อเป็นกลอุบายลักรถยนต์ไปขายที่ประเทศพม่าดังนั้น การที่ ท. และ ข. ลักรถยนต์โดยใช้กลอุบายทำสัญญาเช่าเช่นนี้จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์นำรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก-3630 เชียงรายประกันภัยไว้แก่จำเลย ครั้นวันที่ 4 กรกฎาคม 2536 เวลาประมาณ 13 นาฬิกา นายขจรหรือสมศักดิ์ โกเสนตอหรือธินอมธรรม และนางสาวทนาดา จันทาพูน ได้ลักรถยนต์โจทก์ไปโดยใช้กลอุบายหลอกลวงเช่ารถยนต์โจทก์เพื่อใช้ท่องเที่ยว ขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดเพราะโจทก์ให้บุคคลอื่นครอบครองรถยนต์ตามสัญญาอันเป็นข้อยกเว้นความรับผิดตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 3.7.7 ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 222,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 200,000 บาท นับถัดจากวันอุทธรณ์ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาในข้อกฎหมายว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามข้อยกเว้นความรับผิดในกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 3.7.7 หรือไม่ ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก-3630 เชียงราย โจทก์นำรถยนต์คันนี้ประกันวินาศภัยไว้แก่จำเลย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2536 นางสาวทนาดา จันทาพูน และนายขจรหรือสมศักดิ์ โกเสนตอหรือธินอมธรรม ได้เช่ารถยนต์คันนี้ไปจากโจทก์ ทำสัญญาเช่าไว้ตามเอกสารหมาย จ.11 และได้มอบบัตรประจำตัวประชาชนของบุคคลทั้งสองให้แก่โจทก์ กำหนดระยะเวลาเช่า 1 วัน ค่าเช่า 800 บาท โจทก์ได้รับค่าเช่าล่วงหน้าแล้ว เมื่อถึงกำหนดเวลาเช่าบุคคลทั้งสองไม่นำรถยนต์ไปคืนเนื่องจากนางสาวทนาดาและนายขจรไม่มีเจตนาเช่ารถยนต์ดังกล่าว เหตุที่ทำสัญญาเช่าทรัพย์เพื่อเป็นกลอุบายลักรถยนต์ไปขายที่ประเทศพม่า จึงถือว่าไม่มีการเช่ารถยนต์ดังกล่าว การที่นางสาวทนาดาและนายขจรรับมอบหรือครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว จึงไม่ใช่การรับมอบหรือครอบครองรถยนต์ตามสัญญาเช่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 3.7.7 ระบุข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายว่า ความเสียหายหรือสูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์โดยบุคคลที่ครอบครองรถยนต์ตามสัญญาเช่า เป็นอันไม่คุ้มครอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า นางสาวทนาดาและนายขจรลักรถยนต์ดังกล่าวไปจากโจทก์โดยใช้กลอุบายหาได้เจตนาทำสัญญาเช่ากับโจทก์ดังนั้นจึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย จำเลยจำต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น…”

พิพากษายืน

Share