แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินจำเลยเป็นเหตุให้ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะโจทก์ออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินจำเลยจำเลยปิดกั้นที่ดินโจทก์ด้านที่ติดกับทางพิพาทโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องขอใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1350แม้จำเลยจะได้รับโอนที่ดินที่แบ่งแยกรวมทั้งส่วนที่เป็นทางพิพาทมาภายหลังก็ตามจะปฏิเสธสิทธิของโจทก์ในการขอใช้ทางจำเป็นหาได้ไม่และทางจำเป็นหาจำต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรงไม่แต่โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็นบนที่ดินของบุคคลอื่นซึ่งมิใช่คู่ความในคดีด้วยหาได้ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 50213 เป็นที่ดินแปลงย่อย เนื้อที่ 101 ตารางวาซึ่งแบ่งแยกมาจากที่ดินจำเลยโฉนดเลขที่ 3168 ที่ดินโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ทางเดียวคือ ซอยศิริมิตรหรือสมานมิตรซึ่งจำเลยเป็นผู้ทำขึ้นเพื่อเป็นทางออกสู่ถนนสุขาภิบาล 2อันเป็นทางสาธารณะ เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2535 จำเลยปักเสาปูนและทำรั้วไม้ปิดกั้นทางออกที่ดินโจทก์ตลอดแนวด้านที่ติดกับซอยศิริมิตรหรือสมานมิตร ทำให้ที่ดินโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ซอยศิริมิตรหรือสมานมิตรที่จำเลยทำขึ้น จึงเป็นทางจำเป็นที่โจทก์จะใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ขอให้พิพากษาว่าที่ดินจำเลยโฉนดเลขที่ 3168 เฉพาะส่วนที่ปิดล้อมที่ดินโจทก์ด้านทิศตะวันตก ความกว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 200 เมตรเป็นทางจำเป็นและบังคับจำเลยรื้อถอนเสาปูนและรั้วไม้ที่ทำไว้โดยเปิดทางเดินให้โจทก์ใช้ได้อย่างสภาพเดิม หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลสั่งให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนได้เอง โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 50213 และที่ดินดังกล่าวมิได้แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 3168 ของจำเลย ที่ดินโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะที่สะดวกสบายและก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ที่ดินข้างเคียงน้อยกว่าที่ดินจำเลยไม่จำเป็นต้องใช้ที่ดินจำเลยเป็นทางออกนอกจากนี้โจทก์ไม่เคยเสนอค่าตอบแทนในการขอเปิดทางจำเป็นแก่จำเลย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนและรั้วไม้ที่สร้างไว้และเปิดทางเดินให้ใช้ได้อย่างสภาพเดิม หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์ดำเนินการได้เอง โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและให้ที่ดินจำเลยโฉนดเลขที่ 3168 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิกรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนที่ปิดล้อมที่ดินโจทก์ด้านทิศตะวันตกความกว้าง 3 เมตร ยาว 200 เมตร เป็นทางจำเป็น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ว่าถ้าจำเลยไม่รื้อถอนเสาปูนและรั้วไม้ก็ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอน โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่เพียงใดข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 50213 ตำบลคลองกุ่มอำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร โดยแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 3168 ซึ่งปัจจุบันเป็นของจำเลยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2535จำเลยทำรั้วไม้ปิดกั้นที่ดินโจทก์ด้านที่ติดกับทางพิพาท(ซอยศิริมิตรหรือสมานมิตร) ซึ่งเป็นที่ดินจำเลย เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางพิพาทออกสู่ถนนสุขาภิบาล 2 ซึ่งเป็นทางสาธารณะได้ ในเบื้องต้นได้พิจารณาถึงสภาพตำแหน่งที่ตั้งของที่ดินดังปรากฏตามแผนที่สังเขป เอกสารหมาย จ.5 และ ล.19ประกอบรูปจำลองแผนที่หลังโฉนด รายการสารบัญจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 3168 ของจำเลย ตามสำเนาเอกสารหมาย จ.9 หรือ ล.13แล้ว ปรากฏว่าเดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 3168 เป็นที่ดินแปลงเดียวทิศเหนือ มีถนนสุขาภิบาล 2 ตัดผ่าน ทิศใต้จรดคลองแสนแสบต่อมาประมาณปี 2513 มีการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมระหว่างนางกิติยาวีระพันธ์และนางแน กองแก้ว มารดาจำเลยโดยแบ่งออกเป็นแปลงย่อยหลายแปลงในลักษณะแบ่งขายนอกจากนี้ได้กันที่ดินด้านทิศตะวันตกไว้ตลอดแนวเพื่อให้ที่ดินแปลงที่แบ่งแยกออกไปรวมทั้งที่ดินโจทก์ใช้เป็นทางออกสู่ถนนสุขาภิบาล 2 ได้ โดยใช้ชื่อว่าซอยศิริมิตรหรือสมานมิตรคือทางพิพาทนี้ ที่ดินโฉนดเลขที่ 3168ดังกล่าวซึ่งต่อมาตกเป็นของจำเลยเป็นแปลงคงอยู่ด้านทิศใต้จรดคลองแสนแสบโดยรวมเอาส่วนหนึ่งของทางพิพาทซึ่งอยู่ทางทิศใต้เข้าด้วยกัน ส่วนที่ดินโจทก์อยู่ค่อนไปด้านทิศใต้เช่นกัน มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ 3 ด้าน คงมีด้านทิศตะวันตกอยู่ติดทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินส่วนของจำเลย เมื่อจำเลยจัดการให้ทำรั้วไม้ปิดกั้นที่ดินโจทก์ด้านที่ติดกับทางพิพาทเช่นนี้ ซึ่งโจทก์ได้เบิกความอ้างเหตุดังกล่าวว่าไม่อาจใช้ทางพิพาทออกสู่ถนนสุขาภิบาล 2 ได้อีกต่อไป จำต้องใช้สิทธิเรียกร้องทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโจทก์ดังกล่าว ส่วนจำเลยนำสืบว่าโจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้โดยผ่านที่ดินนางมณฑาและนางกิติยาซึ่งอยู่ถัดจากที่ดินโจทก์ขึ้นไปด้านทิศเหนือหรือมิฉะนั้นโจทก์อาจใช้ทางผ่านที่ดินนายสรามเข้าซอยมัสยิดแล้วเดินเลียบคลองแสนแสบไปออกถนนสุขาภิบาล 2 ได้ เห็นว่าเมื่อปรากฏว่าที่ดินโจทก์ได้แบ่งแยกออกจากที่ดินจำเลยเป็นเหตุให้ที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะดังกล่าวมาข้างต้น แม้จำเลยจะอ้างว่าจำเลยได้รับโอนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกมาภายหลังก็ไม่ใช่เหตุที่จะยกขึ้นปฏิเสธสิทธิของโจทก์ในการใช้ทางจำเป็นได้ ทั้งทางจำเป็นก็หาจำต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรงดังที่จำเลยฎีกาไม่โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องขอใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 โดยเฉพาะการใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นก็เพียงแต่รื้อถอนรั้วที่จำเลยทำไว้เพื่อปิดกั้นทางออกที่ดินโจทก์เท่านั้น ทั้งได้ความว่าทางพิพาทมีไว้เพื่อใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว นับว่าพอควรแก่ความจำเป็นที่โจทก์จะใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านออกสู่ทางสาธารณะและเกิดความเสียหายแก่ที่ดินจำเลยน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับการให้โจทก์ไปใช้ที่ดินแปลงอื่น อย่างไรก็ดี ปรากฏตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.13 และ ล.18 ประกอบแผนที่สังเขปหมาย จ.5 ว่าทางพิพาทตลอดสายที่ใช้เป็นทางออกสู่ถนนสุขาภิบาล 2 ดังกล่าวยาวประมาณ 200 เมตร จำเลยคงเป็นเจ้าของทางพิพาทเฉพาะส่วนที่อยู่ด้านทิศใต้เท่านั้น ส่วนทางพิพาทด้านทิศเหนือซึ่งติดอยู่ถนนสุขาภิบาล 2 นั้นเป็นของนายสมนึกบุตรจำเลย จากที่ดินโจทก์ต้องผ่านทางพิพาทในส่วนที่เป็นของจำเลยยาวประมาณ 40 เมตรแล้วไปจดทางพิพาทส่วนที่เป็นของนายสมนึกซึ่งเป็นบุคคลภายนอกดังนั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยเปิดทางจำเป็นบนที่ดินของบุคคลอื่นได้ โจทก์คงมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้เปิดทางจำเป็นเฉพาะทางพิพาทในส่วนที่อยู่บนที่ดินจำเลยเท่านั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทในฐานะเป็นทางจำเป็นยาว 200 เมตรตลอดสาย อันมีผลเป็นการผูกพันบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วยนั้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ศาลฎีกาเห็นควรแก้เสียให้ถูกต้อง ฎีกาของจำเลยบางส่วนฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ที่ดินจำเลยโฉนดเลขที่ 3168ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ด้านทิศตะวันออกส่วนที่ติดกับที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 50213 ตำบลคลองกุ่มอำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นทางพิพาทกว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 40 เมตร ไปจรดที่ดินโฉนดเลขที่ 178388 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานครเป็นทางจำเป็นของที่ดินโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์