คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์โดยโจทก์จำเลยตกลงให้มีการคิดดอกเบี้ยในอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ดอกเบี้ยสำหรับต้นเงินกู้จึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด จำเลยไม่มีสิทธินำดอกเบี้ยที่ชำระให้โจทก์ไปแล้วซึ่งตกเป็นโมฆะนั้นไปหักกับต้นเงินให้ลดน้อยลงไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 เมื่อจำเลยยังไม่ได้ชำระต้นเงิน จำเลยจึงยังต้องรับผิดชำระต้นเงินให้แก่โจทก์.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไป 3 ครั้งจำนวน 10,000บาท จำนวน 10,000 บาท และจำนวน 20,000 บาทตามลำดับเมื่อครบกำหนดชำระเงินคืนจำเลยไม่ชำระเงินต้นเลย คงชำระดอกเบี้ยให้โจทก์เพียง 2,000 บาท จำเลยคงค้างชำระดอกเบี้ยโจทก์อีก3,312.50 บาท รวมเงินต้นและดอกเบี้ยที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ 43,312.50 บาท จึงขอบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน40,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้วและขอหนังสือสัญญากู้ทั้งสามฉบับคืนจากโจทก์ โจทก์บอกว่าจะต้องค้นหาก่อน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 40,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากจำนวนเงินต้นดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไปตามฟ้องรวม 3 ครั้ง ครั้งแรกจำเลยกู้เงินโจทก์เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2524 จำนวนเงิน 10,000 บาทครั้งที่สองเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2524 จำนวนเงิน 10,000 บาทและครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2524 จำนวนเงิน 20,000 บาทรวมเป็นเงิน 40,000 บาท ปรากฏตามหนังสือสัญญากู้เงินตามกฎหมายใหม่เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่าจำเลยได้ชำระต้นเงินให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานว่า การกู้เงินจากโจทก์ทั้ง 3 ครั้ง โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือน โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 8 ต่อเดือนดังนั้นไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยจะเป็นดังเช่นที่โจทก์หรือจำเลยอ้าง ข้อเท็จจริงคงฟังได้ในเบื้องต้นนี้ว่า การกู้ยืมเงินตามฟ้องนี้ โจทก์จำเลยตกลงให้มีการคิดดอกเบี้ยในอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดดอกเบี้ยสำหรับต้นเงินกู้ตามฟ้องจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด ที่โจทก์เบิกความยอมรับว่าจำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ในระยะแรกเดือนละ 3,200 บาท และตั้งแต่เดือนมีนาคม 2525 จำเลยชำระให้เดือนละ 4,000 บาท นั้น จำเลยไม่มีสิทธินำดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะนั้นไปหักกับต้นเงินให้ลดน้อยลงไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 คดีฟังได้ว่าจำเลยยังไม่ได้ชำระต้นเงินแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องชำระต้นเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ส่วนดอกเบี้ยโจทก์เบิกความว่าโจทก์ไม่คิดเอาดอกเบี้ย จึงถือว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องอีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวน 40,000 บาท แก่โจทก์

Share