คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5329/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินขาดอายุความแล้วจำเลยทำหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ถึงโจทก์แจ้งว่าตามที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำเลยยินยอมชำระหนี้ให้โจทก์โดยการผ่อนชำระและจำเลยยอมสละประโยชน์แห่งอายุความของสิทธิเรียกร้องดังกล่าวข้างต้นย่อมถือได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาที่จะสละประโยชน์แห่งอายุความแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/24 แม้หนังสือดังกล่าวจะมีข้อความว่าจำเลยขอแปลงหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นหนี้เงินกู้โดยขอให้งดคิดดอกเบี้ยหนี้เงินกู้ใหม่ไว้1ปีด้วยก็ตามแต่ก็มิได้มีข้อกำหนดว่าหากโจทก์ไม่ตกลงตามข้อเสนอดังกล่าวแล้วจะมีผลอย่างไรการที่โจทก์ไม่ตกลงด้วยในการงดคิดดอกเบี้ยจึงไม่มีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของการแสดงเจตนาสละประโยชน์แห่งอายุความของจำเลย จำเลยทำหนังสือสัญญาแปลงหนี้จากหนี้เดิมตามตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นหนี้เงินกู้แม้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจะขาดอายุความแล้วแต่เมื่อโจทก์จำเลยยังมีหนี้เดิมต่อกันตามตั๋วสัญญาใช้เงินสัญญากู้ที่แปลงหนี้มาก็ย่อมมีมูลหนี้โจทก์จำเลยจึงต้องผูกพันกันตามหนังสือสัญญาแปลงหนี้ดังกล่าวจำเลยจึงไม่มีสิทธิยกอายุความตามตั๋วสัญญาใช้เงินขึ้นต่อสู้โจทก์ หนี้ตามสัญญากู้ที่จำเลยตกลงกับโจทก์แปลงมาจากหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามหนังสือแปลงหนี้มีข้อตกลงว่าจำเลยจะชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นเมื่อโจทก์เรียกร้องจึงเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย แต่เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระ คิดถึงวันที่ 30เมษายน 2536 จำเลยเป็นหนี้ค้างชำระ 40,447.74 บาท วันที่6 พฤษภาคม 2536 จำเลยทำสัญญาแปลงหนี้ใหม่กับโจทก์โดยตกลงแปลงหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นหนี้เงินกู้และทำหนังสือผ่อนผันการชำระหนี้ดังกล่าวโดยยอมสละประโยชน์แห่งอายุความตามตั๋วสัญญาใช้เงินขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 40,447.74 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ใช้กลอุบายหลอกลวงให้จำเลยลงชื่อในสัญญาแปลงหนี้ใหม่และหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ นิติกรรมระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นโมฆียะ โจทก์ไม่เคยมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเท่านั้น คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามที่โจทก์อุทธรณ์ขึ้นมาสู่ศาลฎีกามีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าเมื่อพ้นกำหนด 3 ปี นับจากวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 18,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปีที่จำเลยออกให้โจทก์ถึงกำหนดใช้เงิน จำเลยยังมิได้ใช้เงินแก่โจทก์ ถึงวันที่ 30 เมษายน 2536 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น 40,447.74 บาท วันที่ 6 พฤษภาคม2536 จำเลยทำหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ถึงโจทก์ตามเอกสารหมายจ.13 และในวันเดียวกันจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาแปลงหนี้กับโจทก์โดยแปลงหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 85/139 จำนวน 40,447.74 บาทเป็นหนี้เงินกู้และจะชำระหนี้ให้เมื่อโจทก์เรียกร้อง โดยยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันทำสัญญาตามเอกสารหมาย จ.11 แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ในการวินิจฉัยปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น มีข้อต้องพิจารณาว่าการที่จำเลยทำหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.13 ถึงโจทก์เป็นการสละประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่ และหนังสือสัญญาแปลงหนี้ตามเอกสารหมาย จ.11 มีผลสมบูรณ์ผูกพันจำเลยหรือไม่ เห็นว่า แม้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่การที่จำเลยทำหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.13 ถึงโจทก์ แจ้งว่าตามที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ประเภทตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 85/139 จำเลยยินยอมชำระหนี้ให้โจทก์โดยการผ่อนชำระ และจำเลยยอมสละประโยชน์แห่งอายุความของสิทธิเรียกร้องดังกล่าวข้างต้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาที่จะสละประโยชน์แห่งอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 แม้ตามเอกสารหมาย จ.13 จะมีข้อความที่ว่า จำเลยขอเสนอเงื่อนไขการผ่อนชำระหนี้เพื่อให้โจทก์พิจารณาและจำเลยขอแปลงหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 85/139 เป็นหนี้เงินกู้โดยขอให้งดคิดดอกเบี้ยหนี้เงินกู้ใหม่ไว้ 1 ปี ด้วยก็ตาม แต่ก็มิได้มีข้อกำหนดต่อไปว่าหากโจทก์ไม่ตกลงตามข้อเสนอของจำเลยที่ขอให้งดคิดดอกเบี้ยเป็นเวลา 1 ปีแล้วจะมีผลอย่างไร ดังนั้นข้อความดังกล่าวจึงเป็นเพียงการที่จำเลยขอความอนุเคราะห์จากโจทก์ให้งดคิดดอกเบี้ยจากจำเลยไว้เป็นเวลา 1 ปีเท่านั้น การที่โจทก์ไม่ตกลงด้วยในการงดคิดดอกเบี้ยก็ไม่มีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของการแสดงเจตนาสละประโยชน์แห่งอายุความของจำเลย และนอกจากนี้โจทก์จำเลยยังได้ทำหนังสือสัญญาแปลงหนี้จากหนี้เดิมตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเป็นหนี้เงินกู้ตามเอกสารหมาย จ.11 อีกด้วย เมื่อโจทก์จำเลยยังมีหนี้เดิมต่อกันตามตั๋วสัญญาใช้เงิน สัญญากู้ที่แปลงหนี้มาก็ย่อมมีมูลหนี้ ดังนั้นโจทก์จำเลยจึงต้องผูกพันกันตามหนังสือสัญญาแปลงหนี้ดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีสิทธิยกอายุความตามตั๋วสัญญาใช้เงินขึ้นต่อสู้โจทก์
เมื่อวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้แล้วหรือไม่และโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเพียงใด ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ แต่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยเพราะเห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความและพิพากษายกฟ้องไปเลยศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่
ในปัญหาที่ว่าจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้แล้วหรือไม่นั้น แม้จะปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6 ว่าจดหมายบอกกล่าวให้ชำระหนี้ที่โจทก์ส่งไปถึงจำเลยนั้นถูกส่งคืนมายังโจทก์ก็ตามแต่หนี้ตามสัญญากู้ที่จำเลยตกลงกับโจทก์แปลงมาจากหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามหนังสือสัญญาแปลงหนี้เอกสารหมาย จ.11 นั้นมีข้อตกลงว่าจำเลยจะชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นเมื่อโจทก์เรียกร้อง จึงเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวก่อน
ส่วนปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเพียงใดนั้นโจทก์นำสืบว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากลูกค้าได้ในอัตราร้อยละ19 ต่อปี ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเอกสารหมาย จ.14หรือ จ.15 และจำเลยตกลงยอมชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ19 ต่อปี ตามเอกสารหมาย จ.11 จำเลยมิได้นำสืบหักล้างเรื่องอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2536 เป็นต้นไปตามสัญญาเอกสารหมาย จ.11
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 40,447.74 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2536เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 3,242.47 บาท

Share