คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5323/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลรัษฎากร มาตรา 48(4) กำหนดให้ผู้มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรเลือกเสียภาษีเฉพาะเงินได้ประเภทนี้ โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 48(1)และ (2) ก็ได้นั้น เป็นการให้สิทธิผู้เสียภาษีและมีเจตนารมณ์เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้มีเงินได้ในประเภทดังกล่าว และสิทธิตามมาตรานี้มิได้มีข้อจำกัดไว้ว่าจะหมดไปเมื่อใด ดังนั้น จึงต้องถือว่าสิทธิของผู้เสียภาษีคงมีอยู่ตลอดเวลาที่ภาระในการเสียภาษียังมีอยู่ โจทก์มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรจึงมีสิทธิตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 48(4) การที่โจทก์ยื่นเสียภาษีโดยวิธีรวมคำนวณด้วยความเข้าใจผิดเพราะคิดหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ไม่ถูกต้องตามกฎหมายทำให้จำนวนภาษีซึ่งคำนวณตามวิธีที่โจทก์ยื่นเสียภาษีขาดไปเป็นจำนวนถึงสองล้านบาทเศษซึ่งถ้าโจทก์แยกยื่นเฉพาะเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรแล้ว โจทก์จะมีจำนวนภาษีที่ต้องชำระเพิ่มอีกเพียงเก้าหมื่นบาทเศษเท่านั้นเห็นได้ว่าการที่โจทก์ยื่นเสียภาษีโดยวิธีรวมยื่นนั้นเกิดขึ้นด้วยความสำคัญผิด เมื่อภาระหน้าที่ในการชำระภาษีของโจทก์ยังมีอยู่โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการยื่นเสียใหม่โดยใช้วิธีการยื่นแยกเฉพาะเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวได้เพราะไม่ทำให้จำนวนภาษีที่โจทก์จะต้องเสียขาดจำนวนไป การที่เจ้าพนักงานประเมินนำเอาการยื่นรวมที่โจทก์ยื่นด้วยความสำคัญผิดมาเป็นหลักในการประเมินโดยไม่ให้โอกาสโจทก์แก้ไขตามสิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมายย่อมเป็นการไม่ชอบ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่โจทก์ยื่นเสียภาษีปี 2528 ของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นการชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายทุกประการ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์เลือกเสียภาษีโดยนำเงินได้จากการขายที่ดินมารวมคำนวณกับเงินได้ที่จะต้องเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 48(1) (2) โดยเจตนาแล้ว จะกลับเปลี่ยนใจขอถอนการยื่นเสียภาษีเป็นการไม่ชอบ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์ยื่นเสียภาษีปี 2528 โดยนำเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือกำไรไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้ที่จะต้องเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 48(1) (2) ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 48(4) โดยแสดงเงินได้พึงประเมินสำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์จำนวน 485,100 บาท คำนวณภาษีจากเงินได้พึงประเมินทุกรายการแล้วเป็นเงินภาษีที่คำนวณจากเงินได้สุทธิจำนวน 512,607.26บาท หักภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีเงินได้ที่ชำระแล้ว จำนวน1,033,853.40 บาท โจทก์คงเหลือภาษีส่วนที่ชำระไว้เกิน 521,246.14บาท โจทก์จึงยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีที่ชำระไว้เป็นจำนวนเงิน521,246 บาท เมื่อเจ้าพนักงานตรวจสอบแล้วปรากฏว่า เฉพาะเงินได้จากการที่โจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์เมื่อหักค่าใช้จ่ายตามวิธีที่โจทก์ยื่นดังที่กฎหมายกำหนดแล้วมีเงินได้ที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่ายที่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีจำนวน 4,851,000 บาท โจทก์ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานประเมินขอเสียภาษีโดยแยกคำนวณภาษีสำหรับเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรโดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องชำระภาษีเพิ่มอีก 98,800.99 บาทเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าจะเปลี่ยนแปลงวิธีการยื่นเสียภาษีไม่ได้จึงได้ทำการประเมินด้วยการคำนวณตามวิธีที่โจทก์ยื่นเสียภาษีไว้โดยนำเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ไปรวมคำนวณกับเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นตามมาตรา 48(4) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งโจทก์จะต้องเสียภาษีอากรเพิ่ม เบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวม 5,030,839.18 บาทแจ้งประเมินไปยังโจทก์ โจทก์อุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีจึงลดเบี้ยปรับให้โจทก์ร้อยละ 50 เหลือเงินภาษีที่โจทก์จะต้องชำระตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จำนวน 3,892,640.28 บาท คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ตามบทบัญญัติในมาตรา 48(4) แห่งประมวลรัษฎากรที่กำหนดให้ผู้มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรเลือกเสียภาษีเฉพาะเงินได้ประเภทนี้โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 48(1) และ (2) ก็ได้นั้น เป็นการให้สิทธิผู้เสียภาษีและมีเจตนารมณ์เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้มีเงินได้ในประเภทดังกล่าว และสิทธิตามที่บัญญัติไว้มาตรา 48(4) นี้ ก็มิได้มีข้อจำกัดไว้ว่าจะหมดไปเมื่อใดดังนั้น จึงต้องถือว่าสิทธิของผู้เสียภาษีคงมีอยู่ตลอดเวลาที่ภาระในการเสียภาษียังมีอยู่ โจทก์มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร จึงมีสิทธิตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 48(4) การที่โจทก์ยื่นเสียภาษีโดยวิธีรวมคำนวณด้วยความเข้าใจผิดเพราะคิดหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้จำนวนภาษีซึ่งคำนวณตามวิธีที่โจทก์ยื่นเสียภาษีขาดไปเป็นจำนวนถึง 2,276,397.80 บาทซึ่งถ้าโจทก์แยกยื่นเฉพาะเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรแล้ว โจทก์จะมีจำนวนภาษีที่ต้องชำระเพิ่มอีกเพียง 98,800.99 บาท เท่านั้น เห็นได้ว่าการที่โจทก์ยื่นเสียภาษีโดยวิธีรวมยื่นนั้นเกิดขึ้นด้วยความสำคัญผิด เมื่อภาระหน้าที่ในการชำระภาษีของโจทก์ยังมีอยู่โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการยื่นเสียใหม่ โดยใช้วิธีการยื่นแยกเฉพาะเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร เพื่อบรรเทาภาระภาษีตามที่ประมวลรัษฎากรให้สิทธิไว้ได้เพราะไม่ทำให้จำนวนภาษีที่โจทก์จะต้องเสียโดยวิธีแยกยื่นตามบทบัญญัติของมาตรา 48(4) นี้ขาดจำนวนไป การที่เจ้าพนักงานประเมินนำเอาการยื่นรวมที่โจทก์ยื่นด้วยความสำคัญผิดมาเป็นหลักในการประเมินโดยไม่ให้โอกาสโจทก์แก้ไขตามสิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมายย่อมเป็นการไม่ชอบ และคดีไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาในชั้นนี้ว่าจะมีการประเมินตามวิธีแยกยื่นโดยเฉพาะหรือไม่ จึงเป็นกรณีที่จะต้องเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เท่านั้น
พิพากษากลับให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์.

Share