แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ยื่นคำร้องสอดเข้ามาขอให้ศาลกันส่วนของผู้ร้องสอดให้แก่ผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1749 นั้น เป็นเรื่องที่ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นได้ก่อนพิพากษา เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้พิพากษา แม้การพิจารณาจะถือว่าสิ้นสุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 187 แล้วก็ตาม สิทธิของผู้ร้องก็ยังมีอยู่ ศาลชั้นต้นจะไม่รับคำร้องโดยอ้างว่าเป็นการประวิงคดีหาไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลของเจ้ามรดก จำเลยปฏิเสธการเป็นทายาทของโจทก์ไม่ยอมแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ จึงขอให้บังคับให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดก
จำเลยให้การปฏิเสธสู้คดีหลายประการ และว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณานายเซียะพ้ง หรือพ้ง เล้าเจริญ ที่ ๑ นายประชา แก้วประดิษฐ์ ที่ ๒ ผู้ร้องได้ร้องสอดเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ปรากฏว่าเมื่อศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา นายบุญเพาะ คัยนันท์ กับนางบังอร คัยนันท์ ผู้ร้องได้มอบอำนาจให้นายอุทัย ลิปตะสุนทร ยื่นคำร้องสอดเข้ามาอ้างว่าเป็นทายาทด้วย ขอให้ศาลกันส่วนของผู้ร้องสอดให้กับผู้ร้องสอด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอ้างว่าคดีเสร็จการพิจารณาแล้วเป็นการประวิงคดีและผู้ร้องมิได้เสียค่าธรรมเนียมศาลมาให้ถูกต้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์และผู้ร้องสอดทั้งสองร่วมกันเสียค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความให้โจทก์ใช้แทนจำเลยสองแสนห้าหมื่นบาท ให้ผู้ร้องสอดทั้งสองใช้ค่าทนายความอีกคนละสองหมื่นบาทแทนจำเลย
โจทก์และผู้ร้องสอดทั้งสองและนายบุญเพาะ คัยนันท์ กับนางบังอร คัยนันท์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องของนายบุญเพาะ คัยนันท์ กับนางบังอร คัยนันท์ ไว้และดำเนินการพิจารณาต่อไป แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้รวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาว่าเมื่อศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จ ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา นายบุญเพาะ คัยนันท์ กับนางบังอร คัยนันท์ ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องสอดเข้ามา ขอให้ศาลกันส่วนของผู้ร้องสอดให้แก่ผู้ร้องสอด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไปเช่นนั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๔๙ บัญญัติว่า “ถ้ามีคดีฟ้องเรียกทรัพย์มรดกผู้ซึ่งอ้างว่าตนเป็นทายาทมีสิทธิในทรัพย์มรดกนั้น จะร้องสอดเข้ามาในคดีก็ได้ แต่ศาลจะเรียกทายาทอื่นนอกจากคู่ความหรือผู้ร้องสอดให้เข้ามารับส่วนแบ่งหรือกันส่วนแบ่งทรัพย์มรดกไว้เพื่อทายาทอื่นนั้นไม่ได้” กรณีจึงเป็นเรื่องที่ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นได้ก่อนพิพากษา เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นยังมิได้พิพากษา แม้การพิจารณาจะถือว่าเป็นอันสิ้นสุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๗ แล้วก็ตามสิทธิของผู้ร้องทั้งสองก็ยังมีอยู่ ศาลชั้นต้นจะไม่รับคำร้องโดยอ้างว่าเป็นการประวิงคดีหาได้ไม่ การใช้สิทธิตามกฎหมายที่ตนมีอยู่แม้จะขัดกับประโยชน์ของบุคคลใด ก็หาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตดังจำเลยฎีกาไม่ ฎีกาอื่น ๆ ของจำเลยนอกจากนี้ไม่เป็นสาระแก่คดีที่จะวินิจฉัยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องของนายบุญเพาะ คัยนันท์ กับนางบังอร คัยนันท์ ไว้ดำเนินการพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้รวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่