แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยจ้างให้บุคคลที่ไม่รู้มาก่อนว่าที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ให้นำรถไถไปไถที่ดินบริเวณดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นการใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด เพราะผู้ถูกใช้ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด แต่เป็นการใช้บุคคลเหล่านั้นเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ถือว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดเองโดยอ้อม จำเลยจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 และมาตรา 31 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2540 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามร่วมกันยึดถือ ครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง พื้นที่ดินซึ่งอยู่ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่ 26 ไร่ โดยใช้รถไถ 3 คัน ไถปรับที่ดินดังกล่าวอันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสามไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมิได้อยู่ในเงื่อนไขที่จะกระทำการได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 4 ปี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งฟังได้ว่า นายยืน ชีวัฒน์ เป็นเจ้าของรถไถนา 2 คัน มีนายทวี อยู่แย้ม และนายชลอ ขจร เป็นลูกจ้างเป็นคนขับ นายสวรรค์ ชื่อสุวรรณ์ เป็นเจ้าของรถไถนา 1 คัน มีนายประสิทธิ์ สีขาว เป็นลูกจ้าง เป็นคนขับ ตามวันเวลาที่ระบุในฟ้องนายยืนและนายสวรรค์ใช้ให้นายทวี นายชลอ และนายประสิทธิ์นำรถไถนาทั้งสามคันไปไถที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบริเวณป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้เสาปูนและเสาไม้ที่ปักไว้ล้มลงอันเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าเป็นอาณาบริเวณ 26 ไร่ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่…พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้ว่าจ้างให้นายยืนและนายสวรรค์นำรถไถไปไถที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุและเป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติงานของนายทวี นายชลอ นายประสิทธิ์ ที่ขับรถไถไถที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุ แต่ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นว่าทั้งนายยืนและนายสวรรค์รวมทั้งนายทวี นายชลอและนายประสิทธิ์ ต่างไม่รู้มาก่อนว่าที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ การที่จำเลยทั้งสามใช้จ้างวานให้บุคคลดังกล่าวนำรถไถไปไถที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุนั้น จึงไม่ใช่เป็นการใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด เพราะบุคคลเหล่านั้นซึ่งเป็นผู้ถูกใช้ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด แต่เป็นการที่จำเลยทั้งสามใช้บุคคลเหล่านั้นเป็นเครื่องมือของจำเลยทั้งสามในการกระทำความผิด ถือว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้กระทำความผิดเองโดยอ้อม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 2 ปี.