คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5310/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

นอกจากโจทก์ได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิที่จะร้องขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่โจทก์พร้อมค่าเสียหายแล้ว โจทก์ยังอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่จะต้องชำระหนี้ค่าที่ดินที่เหลือให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทนเพื่อให้การซื้อขายที่ดินเสร็จสิ้นไปสมเจตนาของโจทก์ และจำเลยด้วย จำเลยจึงมีสิทธิที่จะร้องขอให้บังคับโจทก์ชำระหนี้ค่าที่ดินที่เหลือให้จำเลยเช่นกัน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าหลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดจำเลยได้เสนอชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์แล้วและได้นำโฉนดที่ดินที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์พร้อมค่าเสียหายกับดอกเบี้ยมาวางศาลเพื่อให้โจทก์มารับไปดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา เมื่อจำเลยได้ยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาแล้ว ก็ไม่มีหนี้ที่โจทก์จะขอบังคับเอาจากจำเลยทั้งสองอีกต่อไป แต่โจทก์ยังคงมีหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาคือ เงินค่าที่ดินที่เหลือเป็นการตอบแทนเพื่อให้การซื้อขายที่ดินเป็นอันเสร็จสิ้นไป ด้วยเหตุนี้เมื่อโจทก์ได้รับคำบังคับโดยชอบแล้ว โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้แก่จำเลยภายในกำหนดตามคำบังคับเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตาม จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะขอหมายบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275
การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติชำระหนี้ค่าที่ดินที่เหลือให้แก่จำเลยภายในกำหนดตามคำบังคับ ถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิในการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากจำเลย หนี้ตามคำพิพากษาเฉพาะเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่กันย่อมเป็นอันระงับไป แม้คำพิพากษามิได้กำหนดระยะเวลาให้โจทก์ปฏิบัติชำระหนี้ค่าที่ดินที่เหลือไว้ก็ตาม เพราะมิฉะนั้นจะเกิดความเสียหายแก่จำเลยได้ ทั้งกรณีไม่ใช่เป็นการย่นระยะเวลาบังคับคดีอันจะขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามโฉนดที่ดินเลขที่ 3904 3905และ 3906 ตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา แต่ในกรณีถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้โจทก์วางเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือแก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 3,640,000 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 31 ตุลาคม 2540 จำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงว่าพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษา โดยนำโฉนดที่ดินทั้งสามแปลงมาวางศาลแล้ว ส่วนค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองต้องชำระให้แก่โจทก์นั้นยอมให้โจทก์หักเอาจากจำนวนเงินที่โจทก์จะชำระให้แก่จำเลยทั้งสอง ขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแก่โจทก์เพื่อปฏิบัติชำระหนี้ให้จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษา ซึ่งศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับและโจทก์ได้รับไว้โดยชอบแล้ว แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2541 จำเลยทั้งสองยื่นคำขอออกหมายบังคับคดี

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2541 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่าตามที่จำเลยทั้งสองได้วางโฉนดที่ดินทั้งสามฉบับไว้ต่อศาลแล้ว เพื่อให้การบังคับคดีเสร็จสิ้นไปโดยรวดเร็ว จำเลยทั้งสองพร้อมชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาจำนวน 200,000 บาท ให้แก่โจทก์โดยเตรียมพร้อมที่จะนำมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปภายใน 30 วัน โดยขอให้แจ้งโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามแปลงพร้อมค่าเสียหายภายใน 30 วัน และชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยทั้งสอง หากโจทก์เพิกเฉย ให้ศาลมีคำสั่งว่าคดีถึงที่สุดโดยโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะรับโอนที่ดิน ทำให้คำพิพากษาส่วนที่จำเลยทั้งสองต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามแปลงให้แก่โจทก์เป็นอันระงับไป ซึ่งต่อมาวันที่ 6 พฤษภาคม 2541 จำเลยที่ 1 นำค่าเสียหายจำนวน 200,000 บาทและดอกเบี้ยจำนวน 109,758.06 บาท ที่จะชำระให้แก่โจทก์มาวางศาลแล้ว

วันที่ 14 พฤษภาคม 2541 นายบรรพต วรอาจ ยื่นคำร้องขอยืมโฉนดที่ดินเลขที่ 3904 ที่จำเลยทั้งสองนำมาวางศาลไว้ ซึ่งนายบรรพตถือกรรมสิทธิ์รวมไปจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนของนายบรรพตให้แก่ผู้ซื้อ

จำเลยทั้งสองคัดค้านที่นายบรรพตขอยืมโฉนดที่ดินดังกล่าวเพราะจะทำให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยทั้งสอง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคำร้องของจำเลยทั้งสองว่า การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอบังคับให้โจทก์มารับโอนที่ดินและรับเงินค่าเสียหายพร้อมชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยทั้งสอง หากเพิกเฉยให้ถือว่าคดีถึงที่สุดโดยโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะรับโอนที่ดินจากจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาอีกต่อไป และคำพิพากษาในส่วนที่จำเลยทั้งสองต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์สิ้นสุดนั้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เพราะเป็นการย่นระยะเวลาการบังคับคดี แม้ตามคำพิพากษาไม่ได้กำหนดเวลาให้โจทก์และจำเลยทั้งสองปฏิบัติการชำระหนี้ กรณีต้องถือว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองมีสิทธิบังคับคดีได้ภายในกำหนด 10 ปี จึงให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ และมีคำสั่งอนุญาตให้นายบรรพตยืมโฉนดที่ดินเลขที่ 3904 ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายให้แก่ผู้ซื้อได้ตามขอ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า การที่จำเลยทั้งสองจะยกเหตุที่กล่าวมาในคำร้องขอให้ถือว่าคดีถึงที่สุดโดยโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะรับโอนที่ดินจากจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาต่อไป และคำพิพากษาในส่วนที่จำเลยทั้งสองต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้สิ้นสุดลงแล้วไม่ได้ เพราะคำพิพากษามิได้กล่าวไว้เช่นนั้น เป็นแต่มีผลบังคับให้โจทก์และจำเลยทั้งสองต้องปฏิบัติตามโดยต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ต่อกัน เมื่อจำเลยทั้งสองมีคำขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแจ้งไปยังโจทก์แจ้งชัดแล้ว โจทก์ทราบคำบังคับโดยชอบ แต่ไม่ปฏิบัติตาม จำเลยทั้งสองก็มีสิทธิที่จะขอให้ดำเนินการบังคับคดีเพื่อให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เห็นด้วยในผลที่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ส่วนอุทธรณ์ที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายบรรพตยืมโฉนดที่ดินเลขที่ 3904 ไปเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบนั้น นายบรรพต ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเสร็จเรียบร้อยและได้ส่งมอบโฉนดที่ดินนี้คืนต่อศาลชั้นต้นแล้ว จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระสำคัญแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามที่จำเลยทั้งสองฎีกา สรุปได้ว่า คำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดไปแล้วนั้นกำหนดให้ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ปฏิบัติตอบแทนกันเมื่อจำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว โจทก์ก็ต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตอบแทนแก่จำเลยทั้งสอง แต่เมื่อศาลออกคำบังคับให้โจทก์ปฏิบัติภายใน 30 วัน โจทก์กลับเพิกเฉย เช่นนี้ต้องถือว่าโจทก์สละสิทธิบังคับคดีไม่ประสงค์ที่จะรับโอนที่ดินพิพาทต่อไป การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิบังคับคดีภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แล้วยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า คดีเรื่องนี้โจทก์กับจำเลยทั้งสองพิพาทกันตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วกำหนดให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา แต่ในกรณีถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้โจทก์วางเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือเป็นเงิน 3,640,000 บาท ให้แก่จำเลยทั้งสองรับไป และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งเป็นคำพิพากษากำหนดให้ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างมีหน้าที่ปฏิบัติต่อกันเป็นการตอบแทนเพื่อให้การซื้อขายที่ดินที่ตกลงกันไว้ในสัญญาจะซื้อขายตามฟ้องได้สำเร็จลุล่วงไปสมเจตนาของทั้งสองฝ่าย ดังนั้น แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 บัญญัติให้คู่ความฝ่ายชนะคดีเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาเอาแก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีคือลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาก็ตาม แต่ด้วยผลของคำพิพากษาคดีนี้ปรากฏว่า นอกจากโจทก์ได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิที่จะร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่โจทก์พร้อมค่าเสียหายแล้ว โจทก์ยังอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่จะต้องชำระหนี้ค่าที่ดินที่เหลือให้แก่จำเลยทั้งสองเป็นการตอบแทนเพื่อให้การซื้อขายที่ดินเสร็จสิ้นไปสมเจตนาของโจทก์และจำเลยทั้งสองด้วย จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิที่จะร้องขอให้บังคับโจทก์ชำระหนี้ค่าที่ดินที่เหลือให้แก่จำเลยทั้งสองเช่นกัน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุด จำเลยทั้งสองได้เสนอชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์แล้ว และได้นำโฉนดที่ดินที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์พร้อมค่าเสียหายกับดอกเบี้ยมาวางศาลเพื่อให้โจทก์มารับไปดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาทั้งศาลได้มีคำบังคับให้โจทก์ชำระหนี้ค่าที่ดินที่เหลือให้แก่จำเลยทั้งสองด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองได้ยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาแล้วก็ไม่มีหนี้ที่โจทก์จะขอบังคับเอาจากจำเลยทั้งสองอีกต่อไป แต่โจทก์ยังคงมีหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาคือ เงินค่าที่ดินที่เหลือเป็นการตอบแทนเพื่อให้การซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นอันเสร็จสิ้นไป ด้วยเหตุนี้เมื่อโจทก์ได้รับคำบังคับโดยชอบแล้ว โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้แก่จำเลยทั้งสองภายในกำหนดตามคำบังคับเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตาม จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิที่จะขอหมายบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 ดังนั้น การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติชำระหนี้ค่าที่ดินที่เหลือให้แก่จำเลยทั้งสองภายในกำหนดตามคำบังคับ ถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิในการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากจำเลยทั้งสอง หนี้ตามคำพิพากษาระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองเฉพาะเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่กันย่อมเป็นอันระงับไป แม้คำพิพากษามิได้กำหนดระยะเวลาให้โจทก์ปฏิบัติชำระหนี้ค่าที่ดินที่เหลือไว้ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยก็ตาม เพราะมิฉะนั้นจะเกิดความเสียหายแก่จำเลยทั้งสองได้ ทั้งกรณีไม่ใช่เป็นการย่นระยะเวลาบังคับคดีอันจะขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของจำเลยทั้งสองฉบับลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2541 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้น

ที่จำเลยทั้งสองฎีกาประการต่อไปว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2541 ให้นายบรรพต วรอาจ ยืมโฉนดที่ดินเลขที่ 3904ไปจากศาลเป็นการไม่ชอบ เพราะจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า นายบรรพตเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 3904 ด้วย นายบรรพตย่อมมีสิทธิที่จะทำนิติกรรมใด ๆ ในที่ดินเฉพาะส่วนของนายบรรพตได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสองนำโฉนดที่ดินเลขที่ 3904มาวางศาลไว้เพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษา นายบรรพตก็มีสิทธิขอยืมโฉนดที่ดินฉบับนี้ไปทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินเฉพาะส่วนของตนได้ ซึ่งปรากฏว่าเมื่อดำเนินการเสร็จนายบรรพตก็ได้นำโฉนดที่ดินดังกล่าวส่งคืนแก่ศาลแล้วการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้นายบรรพตยืมโฉนดที่ดินเลขที่ 3904 ไป จึงไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ แก่จำเลยทั้งสอง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยปัญหานี้ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาประการสุดท้ายว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองที่อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ขอเลื่อนการอ่านคำสั่งตามคำร้องฉบับลงวันที่ 13 กรกฎาคม2541 เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนนัดการอ่านคำสั่งหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาตามพฤติการณ์เป็นเรื่อง ๆ ไป ซึ่งตามคำร้องขอเลื่อนนัดของจำเลยที่ 1 ฉบับ ดังกล่าวเป็นแต่กล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสองมีหนังสือไปถึงโจทก์เพื่อแจ้งให้ปฏิบัติตามคำพิพากษา อันเป็นสิทธิของจำเลยทั้งสองส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอยืมโฉนดที่ดินเลขที่ 3904 ของนายบรรพตหรือคำร้องของจำเลยทั้งสองฉบับลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2541 แต่อย่างใด การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนการอ่านคำสั่งตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ย่อมกระทำได้ ทั้งมิได้ทำให้จำเลยทั้งสองเสียหายด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อนี้เป็นอุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระแก่คดีจึงไม่วินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คำพิพากษาเฉพาะส่วนเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3904, 3905 และ 3906 ตำบลลำพยา อำเภอบางเลน (บางปลา) จังหวัดนครชัยศรี (นครปฐม) ตามสัญญาจะซื้อขายเป็นอันระงับไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share