คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5310/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์นำแผ่นวีเนียร์ที่ได้จากการเฉือนไม้ซุงสัก ออกเป็นแผ่นบาง ๆ มาวางปิดทับบนไม้อัดยางที่โจทก์ซื้อมา แล้วประสาน จนเป็นเนื้อเดียวกันเป็นไม้อัดสัก นับว่าเป็นการประกอบสินค้าชนิดใหม่ขึ้นจึงเป็นการผลิตตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 สินค้าตามบัญชีที่ 1 หมวด 4(1) ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า(ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 เป็นวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้าตามบัญชีที่ 3หมวด 3(2) ซึ่งเป็นสินค้าสำเร็จรูป เมื่อไม้อัดเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่ระบุในหมวด 4(1) ของบัญชีที่ 1 ไม้อัดจึงเป็นวัตถุดิบไม้อัดสัก ของโจทก์โดยสภาพมิใช่สินค้าสำเร็จรูปและยังเป็นไม้อัดอย่างหนึ่ง จึงเป็นวัตถุดิบและเป็นสินค้าตามบัญชีที่ 1 หมวด 4(1)โจทก์ซึ่งเป็นผู้ผลิตและมิได้ส่งออกนอกราชอาณาจักรจึงต้องเสียภาษีการค้า ในอัตราร้อยละ 9 ของรายรับ มิใช่ร้อยละ 1.5 ของรายรับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ผลิตไม้อัดสักจำหน่าย ควรเสียภาษีการค้าร้อยละ 1.5 ของรายรับ มิใช่ร้อยละ 9 ตามที่จำเลยประเมิน ขอให้เพิกถอนการประเมิน ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่าโจทก์นำไม้ซุงสักมาตัดเป็นรูปเหลี่ยมแล้วนำไปต้มหลังจากนั้นจึงนำมาเฉือนให้เป็นแผ่นบางตามวัตถุพยานหมาย วจ.2 เรียกว่า แผ่นวีเนียร์ แล้วนำไม้แผ่นบางนั้นอัดทับลงบนไม้อัดยางที่โจทก์ซื้อมาตามตัวอย่างวัตถุพยานหมาย วจ.1 โดยใช้กาวเป็นตัวเชื่อมประสานและนำเข้าเครื่องอัดเย็นอัดร้อนก็จะได้ไม้อัดสักหรือไม้อัดลายไม้สักสินค้าของโจทก์ตามวัตถุพยานหมาย วจ.3 มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าไม้อัดสักดังกล่าวโจทก์ได้มาเนื่องมาจากการผลิตหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิเคราะห์แล้ว ประมวลรัษฎากรมาตรา 77 ให้ความหมายของคำว่า “ผลิต” ไว้ว่าหมายถึงทำการเกษตรหรือขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติ ประกอบแปรรูป แปรสภาพ สินค้าหรือทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีขึ้นซึ่งสินค้าไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ เห็นว่า การที่โจทก์นำแผ่นวีเนียร์ที่ได้จากการเฉือนซุงไม้สักออกเป็นแผ่นบาง ๆ นำไปปิดทับลงบนไม้อัดยาง ประสานเป็นเนื้อเดียวกันจนเป็นไม้อัดสัก นับว่าเป็นการประกอบสินค้าชนิดใหม่ขึ้นมาจึงเป็นการผลิตตามความหมายที่ประมวลรัษฎากรให้คำจำกัดความไว้ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าตัวไม้อัดสักยังคงเป็นแผ่นไม้อัดยางไม่มีการตัดหรือเปลี่ยนแปลงรูปทรงทั้งขนาดหรือสัดส่วนยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่เข้าลักษณะการผลิตนั้น เห็นว่าการผลิตตามคำจำกัดความที่กล่าวแล้วไม่ได้อยู่ที่รูปทรง ขนาด หรือสัดส่วนของสินค้าแต่ประการใด เมื่อไม้อัดสักเป็นสินค้าที่ประกอบขึ้นมาใหม่แม้จะมีรูปทรง ขนาดหรือสัดส่วนเป็นอย่างเดียวกันกับไม้อัดยางที่นำมาประกอบก็หาทำให้ไม้อัดสักเป็นสินค้าที่โจทก์ไม่ได้ผลิตขึ้นมาดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไปว่า โจทก์จะต้องเสียภาษีการค้าสำหรับไม้อัดสักที่โจทก์ผลิตในอัตราร้อยละ 1.5 ของรายรับเพราะเข้าลักษณะสินค้าตามหมวด 3(2) ของบัญชีที่ 3 ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิเคราะห์แล้ว บัญชีที่ 3 หมวด 3 วัสดุก่อสร้างและเครื่องเรือน (2)บัญญัติว่า “กระเบื้องกระดาษ กระเบื้องซีเมนต์ ท่อซีเมนต์ หรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ เฉพาะที่ผลิตจากสินค้าตามหมวด 4(1) ของบัญชีที่ 1ที่ผู้ผลิตมิใช่เป็นผู้ผลิตสินค้าตามหมวด 4(1) ของบัญชีที่ 1เฉพาะที่ผลิตในราชอาณาจักร” ดังนี้แสดงว่า สินค้าตามบัญชีที่ 1หมวด 4(1) เป็นวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้า ตามบัญชีที่ 3 หมวด 3(2)ซึ่งเป็นสินค้าสำเร็จรูป เมื่อไม้อัดเป็นสินค้าอย่างหนึ่งของสินค้าในหมวด 4(1) ของบัญชีที่ 1 ไม้อัดจึงเป็นวัตถุดิบ ฉะนั้นไม้อัดสักของโจทก์ตามวัตถุพยานหมาย วจ.3 ซึ่งโดยสภาพมิใช่สินค้าสำเร็จรูปและเป็นไม้อัดอย่างหนึ่งจึงเป็นวัตถุดิบ และเป็นสินค้าตามบัญชีที่ 1หมวด 4(1) ด้วย ไม้อัดสักที่โจทก์ผลิตจึงไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูปตามบัญชีที่ 3 หมวด 3(2) โจทก์ ในฐานะผู้ผลิตและมิได้ส่งออกนอกราชอาณาจักรจึงต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 9 ของรายรับมิใช่ร้อยละ 1.5 ของรายรับดังที่โจทก์อุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยคดีชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share