คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5307/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองแล้ว อำนาจในการสั่งคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 264 ย่อมเป็นของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่จะพิจารณาสั่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์นั้น จึงไม่ชอบ เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ แม้การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันที่ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นจะไม่ชอบก็ตาม แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) และมาตรา 27 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยกคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของจำเลยทั้งสองเพราะเหตุที่ยื่นล่วงพ้นกำหนดเวลาโดยมิได้วินิจฉัยในเนื้อหาตามคำร้องของจำเลยทั้งสองนั้น จึงไม่ถูกต้อง
การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 264 นั้น จะต้องเป็นการร้องขอให้คุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดที่พิพาทกันในคดีนี้ได้รับการคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษา คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินพิพาทและให้จำเลยทั้งสองแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยโจทก์ไม่ได้ฟ้องและมีคำขอให้ใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์มิได้รับประโยชน์ในที่ดินพิพาท ฉะนั้น การที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองนำรายได้จากที่ดินพิพาทหลังหักค่าใช้จ่ายมาวางศาลชั้นต้นจนกว่าศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะมีคำพิพากษา ย่อมเป็นการนอกฟ้องและเกินคำขอ และแม้โจทก์จะเป็นฝ่ายชนะคดีก็ยังไม่อาจขอให้ศาลบังคับตามคำขอคุ้มครองประโยชน์นั้นได้ กรณีจึงไม่อยู่ในกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาตามบทบัญญัติดังกล่าว คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้คุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 2846, 1980, 2724 ตำบลมะมุ อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ระหว่างนายฮู้ กับจำเลยที่ 1 เพิกถอนนิตกรรมการให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 2724 ตำบลมะมุ อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เพิกถอนนิติกรรมการโอนรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 2832 ตำบลมะมุ อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 แบ่งที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2846, 1980, 2724 ให้แก่โจทก์แปลงละครึ่งหนึ่งและที่ดินโฉนดเลขที่ 2832 ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง เนื้อที่ 16 ไร่ 93 ตารางวา หากจำเลยทั้งสองไม่จดทะเบียนให้โจทก์ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง หากแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 2846, 1980, 2724 และเลขที่ 2832 ออกขายทอดตลาด นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินดังกล่าวแบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 869,399.50 บาท ซึ่งเป็นมูลค่าของที่ดินพิพาทตามฟ้อง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 869,399.50 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้โจทก์หรือขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวเสร็จสิ้นนั้น เป็นคำขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ที่ซ้ำซ้อนกับคำขอแบ่งที่ดิน จึงไม่อาจกำหนดให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำขอในส่วนนี้ได้ เพราะจะทำให้โจทก์ได้ประโยชน์เกินกว่าส่วนที่โจทก์ควรจะได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้ กับยกคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 2854 ตำบลมะมุ อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์เกี่ยวกับผลประโยชน์ดอกผลในที่ดินพิพาทจนกว่าศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะมีคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2832 ซึ่งเป็นทรัพย์พิพาท ซึ่งประกอบกิจการสวนยางและมีการเก็บผลประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว ให้นำวิธีการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ระหว่างพิจารณามาใช้เกี่ยวกับรายได้ในกิจการสวนยาง ตั้งนายประชา เป็นผู้จัดการทรัพย์พิพาท ให้นำเงินที่ได้จากกิจการดังกล่าวหลังหักค่าใช้จ่ายกึ่งหนึ่งมาวางศาลทุกเดือน
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณา และคำสั่งแต่งตั้งนายประชา เป็นผู้จัดการทรัพย์พิพาท รวมทั้งสั่งคืนเงินทั้งหมดที่ได้จากที่ดินพิพาทดังกล่าวที่จำเลยทั้งสองได้นำส่งศาลไว้ ศาลชั้นต้นสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 เพื่อพิจารณา
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่ง ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่ยกคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของจำเลยทั้งสองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2551 จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2551 ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ และในวันที่ 22 กันยายน 2551 โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองแล้ว อำนาจในการสั่งคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ ตามมาตรา 264 ก็ย่อมเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่จะพิจารณาสั่ง ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์นั้นจึงไม่ชอบ เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ แม้จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันที่ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นจะไม่ชอบก็ตาม แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) และมาตรา 27 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยกคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของจำเลยทั้งสองเพราะเหตุที่ยื่นล่วงพ้นกำหนดเวลาโดยมิได้วินิจฉัยในเนื้อหาตามคำร้องของจำเลยทั้งสองนั้น จึงไม่ถูกต้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อมาว่า ตามคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์มีเหตุสมควรที่จะให้คุ้มครองประโยชน์ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ แม้อำนาจในการสั่งคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาจะอยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 8 แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา เพื่อมิให้เป็นการล่าช้า ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาวินิจฉัยเสียก่อน ศาลฎีกาเห็นว่า การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น จะต้องเป็นการร้องขอให้คุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดที่พิพาทกันในคดีได้รับการคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษา คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินพิพาทและให้จำเลยทั้งสองแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยโจทก์ไม่ได้ฟ้องและมีคำขอให้ใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์มิได้รับประโยชน์ในที่ดินพิพาท ฉะนั้น การที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองนำรายได้จากที่ดินพิพาทหลังหักค่าใช้จ่ายมาวางศาลชั้นต้นจนกว่าศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะมีคำพิพากษา ย่อมเป็นการนอกฟ้องและเกินคำขอ และแม้โจทก์จะเป็นฝ่ายชนะคดีนี้ก็ยังไม่อาจขอให้ศาลบังคับตามคำขอคุ้มครองประโยชน์นั้นได้ กรณีจึงไม่อยู่ในกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามบทบัญญัติดังกล่าว คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้คุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคุ้มครองประโยชน์ตามคำร้องของโจทก์ ยกคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่ยกคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของจำเลยทั้งสอง และยกคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ของโจทก์เสีย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share