คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5307/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่ ธ. ยกที่พิพาทให้เป็นสถานที่ก่อตั้งโรงเรียนของจำเลยส. สามีโจทก์ก็ทราบ นอกจากไม่ได้คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตราจองของตนแล้ว ส. ยังให้การสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนการสอนของโรงเรียนของจำเลย ทั้งไม่มีผู้ใดคัดค้านว่าที่พิพาทไม่ใช่ของ ธ. เป็นเหตุให้ ธ. และจำเลยเข้าใจว่าที่พิพาทเป็นของ ธ. ที่ยกให้แก่จำเลยโดยชอบ ประกอบกับจำเลยได้ก่อสร้างโรงเรียนโดยสร้างอาคารเรียนที่มั่นคงแข็งแรงในที่พิพาทตั้งแต่ปี 2510และปลูกต้นไม้ยืนต้นเป็นรั้วล้อมรอบที่พิพาททั้งสี่ด้าน และเปิดสอนหนังสือแก่นักเรียนทั่วไปมาตั้งแต่ปี 2511 เรื่อยมา ทั้งได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยขน์สำหรับที่พิพาทในนามจำเลยและได้ครอบครองที่พิพาทเป็นเวลา 22 ปี โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน เป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 10 ปี
จำเลยเป็นนิติบุคคลมีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติทั้งปวงแห่งกฎหมาย รวมทั้งมีสิทธิครอบครองที่ดินตามที่ได้รับการยกให้เป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนในสังกัดของจำเลยด้วย จึงอาจได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยทางครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 อย่างเช่นบุคคลธรรมดาด้วยและการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามมาตรา 1382 นี้ เป็นวิธีการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นวิธีหนึ่ง ในกรณีที่ทรัพย์สินเป็นที่ดิน ผู้ครอบครองจะรู้ว่าที่ดินที่ตนครอบครองนั้นเป็นของผู้อื่นหรือไม่ และเป็นที่ดินมีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าผู้นั้นได้ครอบครองที่ดินครบตามหลักเกณฑ์ของมาตรา 1382 คือได้ครอบครองที่ดินกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินมีกรรมสิทธิ์ของโจทก์ครบตามหลักเกณฑ์ของมาตรา 1382 จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท

Share