คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5302/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยทั้งสามจะฎีกาอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานผิดไปจากสำนวน และมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยคนใดกระทำความผิด เพราะจำเลยทั้งสามนำสืบปฏิเสธว่าไม่ทราบว่ามีไม้ของกลางบรรทุกบนรถยนต์คันเกิดเหตุนั้น แต่ฎีกาจำเลยทั้งสามล้วนเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยทั้งสามไม่เกินคนละห้าปี ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 48, 73, 74 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และริบไม้ของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปีจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามคงลงโทษจำคุกคนละ 8 เดือน ริบไม้ของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามไม่เกินคนละห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยทั้งสามที่อ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังพยานหลักฐานผิดไปจากสำนวน และมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยคนใดกระทำความผิด เพราะจำเลยทั้งสามนำสืบปฏิเสธว่าไม่ทราบว่ามีไม้ของกลางบรรทุกบนรถยนต์คันเกิดเหตุนั้นล้วนเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสาม.

Share