คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5302/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การนำสินค้าเข้าเป็นอันสำเร็จแต่ขณะที่เรือซึ่งนำของเช่นนั้นได้เข้ามาในเขตท่าที่จะถ่ายของจากเรือหรือท่าที่มีชื่อส่งของถึงเมื่อจำเลยนำสินค้าเข้ามาในอาณาจักรสำเร็จ จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีอากรให้โจทก์ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้คืนสินค้าพิพาทให้แก่ผู้ขายและผู้ขายได้คืนเงินค่าสินค้าให้จำเลยแล้ว ไม่ทำให้ความรับผิดของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาว่าโจทก์ประเมินราคาสินค้าพิพาทสูงเกินไปไม่ใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดนั้น พยานจำเลยเลื่อนลอยปราศจากพยานหลักฐานอ้างอิง ทั้งตามคำอุทธรณ์ของจำเลยก็มิได้โต้แย้งราคาประเมินสินค้าพิพาทที่โจทก์ได้ประเมินไว้เพียงแต่ขอให้ระงับการปรับ พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานจำเลย โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินเพิ่มร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระนับแต่วันที่ได้ส่งมอบของจนถึงวันที่นำเงินมาชำระ ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 112 จัตวา กับเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน สำหรับภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา89 ทวิ อันมีลักษณะคล้ายดอกเบี้ยอยู่แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ชำระดอกเบี้ยตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 อีก และปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยนั้นชอบแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระภาษีอากรขาเข้า ภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน 387,510.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า การประเมินของโจทก์ไม่ถูกต้อง สินค้าที่จำเลยสั่งซื้อคือเศษพลาสติกชนิดเมธาครีเลท แต่ผู้ขายส่งมาให้ผิดโดยส่งเศษพลาสติกชนิดโปลีเอธิลีน มา และไม่อาจใช้กับเครื่องจักรของจำเลยได้ ผู้ขายยอมรับผิดคืนเงินค่าสินค้าให้จำเลยแล้ว สินค้าที่ผู้ขายส่งมาผิดนั้นผู้ขายได้มอบให้ทางราชการ จำเลยไม่ได้สำแดงเท็จแก่โจทก์เพื่อหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากร ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าภาษีให้โจทก์ 387,510.41 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันที่ 13 มิถุนายน 2526 จำเลยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าตามเอกสารหมาย จ.1 ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 โดยจำเลยสำแดงรายการสินค้าว่าเศษพลาสติกชนิดเมธาครีเลท สินค้าดังกล่าวขนเข้ามาทางเรือ ถึงท่าเรือกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2526 พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1ได้นำสินค้าที่จำเลยนำเข้านั้นไปตรวจวิเคราะห์แล้ว ปรากฏว่าเป็นเศษพลาสติกชนิดโปลิเอธิลีน ซึ่งจำเลยไม่ได้รับอนุมัติให้งดเว้นภาษีอากรจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นผู้นำเข้าสินค้าพิพาทนี้ ตามบทบัญญัติมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 การนำของเข้ามาเป็นอันสำเร็จแต่ขณะที่เรือซึ่งนำของเช่นนั้นได้เข้ามาในเขตท่าที่จะถ่ายของจากเรือ หรือท่าที่มีชื่อส่งของถึงเมื่อจำเลยได้นำสินค้าพิพาทเข้ามาในราชอาณาจักรสำเร็จแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีอากรให้โจทก์ เพราะมาตรา 10 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่นำเข้าเกิดขึ้นในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จ ส่วนที่จำเลยอ้างว่า จำเลยได้คืนสินค้าพิพาทให้แก่ผู้ขายและผู้ขายได้คืนเงินค่าสินค้าให้จำเลยแล้วนั้นหาทำให้ความรับผิดชอบของจำเลยเปลี่ยนแปลงไปได้ไม่ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังการนำเข้าสำเร็จ ซึ่งจำเลยย่อมมีสิทธิจัดการกับสินค้าของจำเลยอย่างไรก็ได้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าในกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างจำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดที่จะต้องเสียภาษีอากรให้โจทก์ ส่วนปัญหาว่าโจทก์ประเมินราคาสินค้าพิพาทสูงเกินไปไม่ใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดนั้น พยานโจทก์ว่า สินค้ารายพิพาทนั้นพยานประเมินราคาโดยลดให้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ จากราคาสินค้าดังกล่าวที่ได้มาตรฐานตามประกาศของกองวิเคราะห์ราคา พยานจำเลยว่าสินค้าพิพาทมีราคาถูกกว่าเศษพลาสติกชนิดเมธาครีเลท ถึง1 เท่าตัว คำเบิกความของพยานจำเลยเลื่อนลอยปราศจากหลักฐานอ้างอิงทั้งตามคำอุทธรณ์ของจำเลยก็มิได้โต้แย้งราคาประเมินสินค้าพิพาทที่โจทก์ได้ประเมินไว้แต่ประการใด อุทธรณ์ของจำเลยเพียงแต่ขอให้โจทก์ระงับการปรับจำเลยเท่านั้น เมื่อเป็นดังนี้พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานจำเลย ฟังได้ว่าโจทก์ประเมินราคาสินค้าพิพาทชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และปัญหาเรื่องดอกเบี้ยนั้นโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินเพิ่มร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระ นับแต่วันที่ได้ส่งมอบของจนถึงวันที่นำเงินมาชำระตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112 จัตวา กับเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน สำหรับภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรมาตรา 89 ทวิอันมีลักษณะคล้ายดอกเบี้ยอยู่แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ชำระดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 อีก และปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share