แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 จอข้อความเท็จลงในเอกสารการซื้อขายที่ดินและจำเลยทั้งสองไม่ได้สมคบกันอ้างหรือใช้เอกสารดังกล่าว ทั้งจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานก็ไม่ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ซึ่งจะลงโทษจำเลยในฐานความผิดนี้ไม่ได้อยู่แล้ว ปัญหาที่ว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์ต่อไปอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยร่วมกับกระทำผิดหลายบทหลายกระทงต่างกรรมต่างวาระโดยเมื่อวันใดไม่ปรากฏชัดระหว่างวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๐๘ ถึงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๘ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑ นำความซึ่งรู้อยู่ว่าเป็นเท็จไปแจ้งแก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ ให้จดข้อความเท็จลงในสัญญาขายที่ดิน ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๐๘ อันเป็นเอกสารมหาชน หรือเอกสารทางราชการว่า นางพูนทวี สวัสดิ์รักษ์ ภรรยาจำเลยที่ ๑ ซึ่งศาลจังหวัดภูเก็ตได้พิพากษาตามคดีแพ่งเลขแดงที่ ๑๕๑/๒๕๐๖ ว่าเป็นคนวิตกจริตไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของจำเลยที่ ๑ นั้น นางพูนทวี หายเป็นปกติแล้วโดยศาลยังไม่ได้สั่งเพิกถอนหรือสั่งประการอื่นใดเลย ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและโจทก์ แล้วตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยทั้งสองได้สมคบกันใช้หรืออ้างเอกสารดังกล่าวโดยให้นางพูนทวีลงชื่อในสัญญาซื้อขายฉบับที่กล่าวนั้น ขายที่ดินโฉนดที่ ๖๓๐๙ แก่ผู้มีชื่อโดยเจตนาสุจริตของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพนักงานที่ดินภูเก็ตรู้ดีแล้วว่านางพูนทวีถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนวิกลจริตไร้ความสามารถ ยังได้สมคบกับจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือผู้หนึ่งผู้ใด เหตุเกิดที่ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗, ๑๕๗,๒๖๗,๒๖๘,๘๓,๘๔,๘๖,๙๑
ศาลชั้นต้นได้ร่วมมูลฟ้องแล้วสั่งคดีมีมูล
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีทางฟังได้เลยว่าจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งข้อความ และจำเลยที่ ๒ ได้จดข้อความดังโจทก์ฟ้องข้อหาใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดจึงตกไปด้วย ฟ้องของโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยได้กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ โจทก์ไม่ได้บรรยายเลยว่าจำเลยดกระทำการทุจริตต่อหน้าที่อย่างใด และไม่มีพยานว่าจำเลยกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายในการวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลจำต้องฟังข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๒๒ และศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาแล้วว่า ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งต่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตว่างนางพูนทวีหายจากวิกลจริตแล้ว ให้จำเลยที่ ๒ จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารใด ๆ ดังโจทก์ฟ้องกล่าวหา และจำเลยที่ ๒ มิได้กระทำการทุจริตต่อหน้าที่
ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาว่าคำฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายพอที่จะให้ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ ๒ จดข้อความเท็จลงในเอกสารการซื้อขายที่ดินของนางพูนทวี และจำเลยทั้งสองไม่ได้สมคบกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งความเท็จนั้น ทั้งจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตประการใดแล้ว ปัญหาที่ว่าฟ้องของโจทก์จะเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์ต่อไปอีก แม้ว่าฟ้องของโจทก์จะใช้ได้ แต่ข้อเท็จจริงที่ได้ความปรากฏว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ลงโทษจำเลยไม่ได้อยู่แล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนให้ให้ยกฎีกาโจทก์