แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ฉ. ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทอันเป็นสินสมรสให้แก่โจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยผู้เป็นสามี ซึ่งจำเลยอาจขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1480 เดิม แต่ตราบใดที่สัญญายังมิได้ถูกศาลเพิกถอนสัญญาย่อมสมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่จำเลยเพียงแต่มีหนังสือบอกล้างสัญญาไปยังโจทก์โดยมิได้ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญา สัญญาจึงยังสมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ฟ้องโดยแนบสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาการซื้อขายระหว่างโจทก์ กับ ฉ. มาท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่า ฉ. มิได้ทำสัญญาตามสำเนาภาพถ่ายดังกล่าวต้องถือว่าจำเลยยอมรับถึงการมีอยู่ของต้นฉบับและความถูกต้องแห่งสำเนาเอกสารนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 125 ศาลรับฟังสำเนาเอกสารนั้นแทนต้นฉบับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(1) โจทก์กับ ฉ. ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทโดยอาศัยหลักฐานเป็นหนังสือ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) ที่ห้ามมิให้คู่ความนำสืบ พยานบุคคลว่ายังมีข้อความเพิ่มเติมนอกเหนือจากสัญญาอยู่อีก เมื่อตามสัญญาเอกสารดังกล่าวไม่มีข้อตกลงว่าให้ ฉ. เก็บเงินจากโจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่าได้ตกลงกันดังกล่าว จึงต้องห้ามมิให้รับฟัง โจทก์ต้องชำระเงิน ณ ภูมิลำเนาของ ฉ. ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 324 ตามสัญญากำหนดให้โจทก์ส่งเงินเป็นรายเดือนของทุกเดือนภายในกำหนด 2 ปี โดยไม่ได้กำหนดว่าจะต้องส่งเดือนละเท่าใดพฤติการณ์แสดงว่าคู่สัญญาถือเอาเงื่อนเวลาที่กำหนดให้โจทก์ชำระให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลา 2 ปี เป็นข้อสำคัญ โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากเงื่อนเวลาดังกล่าว จะถือเอาว่าจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละเดือนเท่ากับราคาที่ซื้อขายหารด้วยระยะเวลา2 ปี หาได้ไม่ บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 326 เพียงแต่ให้สิทธิแก่ผู้ชำระหนี้ในอันที่จะเรียกร้องให้ผู้รับชำระหนี้ออกใบเสร็จให้เท่านั้น มิได้หมายความว่าต้องมีใบเสร็จจึงจะรับฟังเป็นหลักฐานได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า นางเฉลิมศรี ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 189ให้แก่โจทก์ในราคา 700,000 บาท ตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือนทุกเดือนต่อมานางเฉลิมศรีถึงแก่กรรม จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเฉลิมศรีได้มีหนังสือถึงโจทก์บอกล้างสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสและสัญญาดังกล่าวจำเลยซึ่งเป็นสามีไม่ได้ให้ความยินยอม การกระทำของนางเฉลิมศรีและจำเลยถือว่าเป็นฝ่ายผิดสัญญา ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ผู้ทำสัญญาโดยสุจริต กล่าวคือ ก่อนที่โจทก์จะตกลงทำสัญญากับนางเฉลิมศรี นางเฉลิมศรีบอกว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวและไม่มีสามีตามกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยรับเงิน ส่วนที่เหลือจำนวน 610,000 บาท จากโจทก์ และให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ถ้าจำเลยไม่ยอมโอน ขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางเฉลิมศรีที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสซึ่งนางเฉลิมศรีทำสัญญาขาย โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย สัญญาเป็นโมฆียะ จำเลยได้บอกล้างนิติกรรมสัญญาดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่เคยชำระเงินแก่นางเฉลิมศรีเป็นรายเดือน ทั้งตามสัญญาระบุให้โจทก์เป็นผู้ส่งเงินแก่นางเฉลิมศรีเป็นรายเดือน เมื่อโจทก์ไม่มีหลักฐานการส่งเงินชำระแก่นางเฉลิมศรีโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา สัญญาไม่ได้ระบุเครื่องหมายที่ดินที่ซื้อขาย และไม่ได้ระบุจำนวนเงินที่ผ่อนชำระกันในแต่ละเดือน สัญญาที่โจทก์อ้างจึงไม่เป็นหลักฐานเป็นหนังสือที่โจทก์จะนำมาฟ้องร้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเฉลิมศรี ปิ่นพานิชการ รับเงินราคาที่ดินที่ค้างจำนวน610,000 บาทจากโจทก์ และให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 189ตำบลหาดคำ อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมโอน ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาข้อต่อไปที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกับนางเฉลิมศรีร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทจากนางสุคนธ์ หมั่นพลศรีซึ่งจำเลยมีนางสุคนธ์เป็นพยานเบิกความในข้อนี้ จำเลยกับนางเฉลิมศรีจึงเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินพิพาท ต่อมาเมื่อจำเลยกับนางเฉลิมศรีจดทะเบียนสมรสกัน ที่ดินพิพาทตกเป็นสินสมรสนางเฉลิมศรีทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยผู้เป็นสามี สัญญาจึงไม่สมบูรณ์ สัญญาตามเอกสารหมาย จ.2 มิได้ปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมาย ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118นอกจากนี้สัญญามิได้ระบุเครื่องหมายที่ดินและจำนวนเงินที่จะผ่อนชำระในแต่ละเดือนอันเป็นข้อสาระสำคัญที่จะต้องตกลงกันสัญญาดังกล่าวเป็นสำเนาซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93 บัญญัติให้ยอมรับฟังได้แต่ต้นฉบับเอกสารเท่านั้นถือไม่ได้ว่าโจทก์มีหลักฐานการซื้อขายเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่าแม้จะฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสและนางเฉลิมศรีทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยผู้เป็นสามีตามที่จำเลยกล่าวอ้างก็ตาม แต่ผลก็คือจำเลยอาจขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1480 เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่นางเฉลิมศรีทำสัญญาตามมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2533 ตราบใดที่สัญญายังมิได้ถูกศาลเพิกถอน สัญญาย่อมสมบูรณ์ตามกฎหมายการที่จำเลยเพียงแต่มีหนังสือบอกล้างสัญญาไปยังโจทก์โดยมิได้ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาแต่อย่างใด สัญญาจึงยังสมบูรณ์ตามกฎหมายสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับนางเฉลิมศรีตามเอกสารหมาย จ.2 แม้จะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็ไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118เพราะประมวลรัษฎากรมิได้บังคับให้สัญญาซื้อขายหรือจะซื้อขายเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ ส่วนที่สัญญาดังกล่าวมิได้ระบุเครื่องหมายที่ดินและจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระกันในแต่ละเดือนก็หาใช่ข้อสาระสำคัญอันจะมีผลทำให้ไม่เป็นสัญญาและไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสองดังที่จำเลยกล่าวอ้างไม่ โจทก์ฟ้องโดยแนบสำเนา ภาพถ่ายหนังสือสัญญาการซื้อขายระหว่างโจทก์กับนางเฉลิมศรีมาท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่านางเฉลิมศรีมิได้ทำสัญญาตามสำเนาภาพถ่ายดังกล่าวต้องถือว่าจำเลยยอมรับทั้งตามทางนำสืบของจำเลย จำเลยอ้างส่งสัญญาตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.7 เป็นพยานและเบิกความรับว่าตรวจพบอยู่ในกระเป๋าถือของนางเฉลิมศรีซึ่งสำเนาภาพถ่ายสัญญาที่จำเลยอ้างส่งดังกล่าวตรงกับสำเนาภาพถ่ายสัญญาท้ายฟ้องและสำเนาสัญญาเอกสารหมาย จ.2 กรณีถือได้ว่าจำเลยยอมรับถึงการมีอยู่ของต้นฉบับและความถูกต้องแห่งสำเนาเอกสารนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 ศาลรับฟังสำเนาสัญญาเอกสารหมาย จ.2แทนต้นฉบับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(1)ดังนี้สำเนาสัญญาดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานการซื้อขายเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง โจทก์มีอำนาจฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปที่จำเลยฎีกาว่า ที่โจทก์อ้างว่าตกลงให้นางเฉลิมศรีมาเก็บเงินจากโจทก์เป็นการขัดกับสัญญาเอกสารหมาย จ.2และเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) รับฟังไม่ได้โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระเงินให้แก่นางเฉลิมศรี ณ ภูมิลำเนาของนางเฉลิมศรีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 324จำนวนเงินที่ผ่อนชำระในแต่ละเดือนต้องเท่ากับราคาที่ซื้อขายหารด้วยระยะเวลา 2 ปี หรือ 24 เดือน ซึ่งตกเดือนละ 29,000 บาทเศษบันทึกการรับเงินเอกสารหมาย จ.4 มิใช่ใบเสร็จตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 326 และแม้จะฟังว่านางเฉลิมศรีได้รับชำระเงินตามเอกสารหมาย จ.4 แต่หลังจากเดือนพฤศจิกายน 2531โจทก์ไม่ได้ชำระอีก โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา เห็นว่าโจทก์กับนางเฉลิมศรีตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทโดยอาศัยหลักฐานเป็นหนังสือตามสัญญาเอกสารหมาย จ.2 กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ที่ห้ามมิให้คู่ความนำสืบพยานบุคคลว่ายังมีข้อความเพิ่มเติมนอกเหนือจากสัญญาอยู่อีก เมื่อตามสัญญาเอกสารหมาย จ.2 ไม่มีข้อตกลงว่าให้นางเฉลิมศรีมาเก็บเงินจากโจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่าได้ตกลงกันดังกล่าว จึงต้องห้ามมิให้รับฟัง โจทก์ต้องชำระ ณ ภูมิลำเนาของนางเฉลิมศรีผู้เป็นเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 324 ฎีกาส่วนนี้ของจำเลยฟังขึ้น แต่แม้เป็นเช่นนั้น เมื่อตามสัญญาเอกสารหมาย จ.2 กำหนดให้โจทก์ส่งเงินเป็นรายเดือนของทุกเดือนภายในกำหนด 2 ปี โดยไม่ได้กำหนดว่าจะต้องส่งเดือนละเท่าใด พฤติการณ์แสดงว่าคู่สัญญาถือเอาเงื่อนเวลาที่กำหนดให้โจทก์ชำระให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลา2 ปี เป็นข้อสำคัญ โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากเงื่อนเวลาดังกล่าวจะถือเอาว่าจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละเดือนเท่ากับราคาที่ซื้อขายหารด้วยระยะเวลา 2 ปี หรือ 24 เดือน ตามที่จำเลยกล่าวอ้างหาได้ไม่ สำหรับเอกสารหมาย จ.4 จะเป็นใบเสร็จตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 326 หรือไม่หาใช่ข้อสำคัญไม่เพราะบทบัญญัติดังกล่าวเพียงแต่ให้สิทธิแก่ผู้ชำระหนี้ในอันที่จะเรียกร้องให้ผู้รับชำระหนี้ออกใบเสร็จให้เท่านั้น มิได้หมายความว่าต้องมีใบเสร็จจึงจะรับฟังเป็นหลักฐานได้ โจทก์มีตัวโจทก์และนายชาติชาย พุฒคำ บุตรโจทก์เบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.4 ว่าโจทก์ได้ชำระราคาที่ดินพิพาทให้แก่นางเฉลิมศรีแล้วรวม 4 งวดเป็นเงิน 90,000 บาท นายพงษ์ทัศน์ ทัศนาวิวัฒน์ พยานจำเลยซึ่งเป็นทนายจำเลยเบิกความรับว่า โจทก์ได้นำรายการบัญชีที่ผ่อนชำระมาให้พยานดูซึ่งปรากฏว่าได้ชำระแล้วรวม 4 งวด เป็นเงิน 90,000 บาทอันเป็นการเจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ ทั้งจำเลยไม่มีพยานนำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้ชำระราคาที่ดินพิพาทให้แก่นางเฉลิมศรีแล้วเป็นเงิน 90,000 บาท คงค้างชำระอยู่อีก610,000 บาท แม้หลังจากเดือนพฤศจิกายน 2531 โจทก์จะไม่ได้ชำระให้อีก แต่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ยังอยู่ภายในกำหนดเวลา 2 ปีซึ่งเป็นเงื่อนเวลาที่โจทก์จะผ่อนชำระให้ตามสัญญาได้ กรณีจะอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่ ฎีกาส่วนนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน