คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5290/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินโดยอ้างว่าจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยให้การแต่เพียงว่าเงินที่โจทก์เรียกมานั้นสูงเกินความเป็นจริง จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ และถือว่าจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือประเด็นที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงินตามสัญญา 56,463 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน56,463 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นสมควรวินิจฉัย ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์ที่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่าตามคำฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และได้หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่าการประนีประนอมยอมความไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยเห็นว่าเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้นั้นเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าว่าจ้างตัดฟันต้นไม้ จ้างรถแทรกเตอร์ค่าซื้อพันธุ์มะละกอ ค่าขนส่งและค่าว่าจ้างคนงานจากจำเลย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 56,463 บาท โดยอ้างว่าจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้วจำเลยให้การแต่เพียงว่าค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมานั้นสูงเกินความเป็นจริง โดยมิได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามฟ้องแต่อย่างใดคดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามฟ้องหรือไม่ และถือว่าจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแก่โจทก์แล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กลับหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น จึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงที่ถือว่าจำเลยรับแล้วขึ้นวินิจฉัยอันเป็นการนอกเหนือประเด็นที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 1ไม่มีอำนาจที่จะหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วปัญหาอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share