แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติ ญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 มาตรา 53 ที่บัญญัติ ว่า”นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นต้นไป ให้ข้าราชการ และลูกจ้างของกองไฟฟ้านครหลวง กรมโยธาเทศบาล ซึ่งต้องออกจาก ราชการเพราะการยุบเลิกกองไฟฟ้านครหลวง กรมโยธาเทศบาลและลูกจ้าง ของการไฟฟ้ากรุงเทพ กระทรวงมหาดไทย มีฐานะเป็นพนักงาน โดยได้รับ เงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มเท่าที่ได้รับอยู่เดิมไปพลางก่อน และให้คณะกรรมการกำหนดอัตราเงินเดือนพนักงานดังกล่าว ซึ่ง จำเป็นจะต้องบรรจุโดยให้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่น้อยกว่าที่รับ อยู่เดิม ทั้งนี้ให้เสร็จภายในหกสิบวัน” นั้น เป็นการกำหนดให้ ลูกจ้างของกองไฟฟ้าหลวง กรมโยธาเทศบาลโอนมาเป็นพนักงานของ การไฟฟ้านครหลวงตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผล บังคับใช้และมิได้ระบุถึง ลูกจ้างประเภทใด จึงต้องหมายถึงลูกจ้างของกองไฟฟ้าหลวงทุกประเภท แม้โจทก์จะเป็นลูกจ้างชั่วคราวรายชั่วโมงของกองไฟฟ้าหลวง ก็มี ฐานะเป็นลูกจ้างตามความหมายของบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อพระราชบัญญัติ การไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2501 โจทก์จึงมีฐานะเป็นพนักงานของจำเลยตั้งแต่วันดังกล่าวโดย ผลของกฎหมาย ส่วนการที่จำเลยจะดำเนินการเกี่ยวกับวิธีบรรจุโจทก์ อย่างไรและเมื่อใดนั้น เป็นการกระทำเพื่อให้ถูกต้องตามวิธีการของ จำเลยเท่านั้น ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามบทกฎหมาย ดังกล่าวเสียไป ข้อบังคับการไฟฟ้านครหลวงว่าด้วยกองทุนเงินบำเหน็จพนักงานอันเป็นข้อบังคับที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินบำเหน็จ กำหนด ว่า”การนับอายุงานของพนักงานเพื่อคำนวณเงินบำเหน็จสำหรับพนักงาน ซึ่งเดิมเป็นข้าราชการหรือลูกจ้างกองไฟฟ้าหลวง กรมโยธาเทศบาล และได้รับบรรจุให้ปฏิบัติงานในการไฟฟ้านครหลวงตามความในมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติ การไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 ติดต่อกันมาจนถึง วันที่พ้นจากตำแหน่งหน้าที่และได้รับบำเหน็จ บำนาญ หรือเงินทดแทน กรณีที่ต้องออกจากราชการเพราะยุบเลิกกองไฟฟ้าหลวง กรมโยธาเทศบาล แล้ว ให้นับอายุงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2501… โจทก์เป็น ลูกจ้างของกองไฟฟ้าหลวงและได้รับบรรจุให้ปฏิบัติงานใน การไฟฟ้านครหลวงโดยได้ทำงานติดต่อ กันมาจนถึงวันที่พ้นหน้าที่ เพราะเกษียณอายุ การนับอายุงานของโจทก์จึงต้องนับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2501 ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของจำเลย.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของกองไฟฟ้าหลวงเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2498 ต่อมามีพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 บทเฉพาะกาลมาตรา 53 ให้โจทก์ทั้งสี่ออกจากงานเพราะยุบเลิกกองไฟฟ้าหลวง กรมโยธาเทศบาล และให้มีฐานะเป็นพนักงานลูกจ้างจำเลยภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม2501 จำเลยจึงต้องบรรจุโจทก์ทั้งสี่เข้าเป็นลูกจ้างไม่เกินวันที่30 กันยายน 2501 แต่จำเลยบรรจุโจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2502 ช้ากว่ากำหนดดังกล่าว ทำให้อายุงานของโจทก์ขาดไป และจำเลยจ่ายเงินบำเหน็จให้โจทก์ทั้งสี่ไม่ครบ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินบำเหน็จส่วนที่ขาด
จำเลยทั้งสี่สำนวนให้การต่อสู้คดี
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จส่วนที่ขาดแก่โจทก์ทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยได้บรรจุโจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างประจำเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2502จึงต้องนับอายุงานของโจทก์ทั้งสี่จากวันดังกล่าวตามที่บัญญัติในมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 พิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 มาตรา 53 บัญญัติว่า “นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นต้นไป ให้ข้าราชการและลูกจ้างของกองไฟฟ้าหลวง กรมโยธาเทศบาล ซึ่งต้องออกจากราชการเพราะการยุบเลิกกองไฟฟ้าหลวง กรมโยธาเทศบาล และลูกจ้างของการไฟฟ้ากรุงเทพ กระทรวงมหาดไทย มีฐานะเป็นพนักงาน โดยได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มเท่าที่ได้รับอยู่เดิมไปพลางก่อน และให้คณะกรรมการกำหนดอัตราเงินเดือนพนักงานดังกล่าวซึ่งจำเป็นจะต้องบรรจุโดยให้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่น้อยกว่าที่รับอยู่เดิม ทั้งนี้ให้เสร็จภายในหกสิบวัน” ตามบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดให้ลูกจ้างของกองไฟฟ้าหลวง กรมโยธาเทศบาลโอนมาเป็นพนักงานของการไฟฟ้านครหลวงตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ และในกฎหมายดังกล่าวก็มิได้ระบุถึงลูกจ้างประเภทใด จึงต้องหมายถึงลูกจ้างของกองไฟฟ้าหลวงทุกประเภท โจทก์ทั้งสี่แม้จะเป็นลูกจ้างชั่วคราวรายชั่วโมงของกองไฟฟ้าหลวงก็มีฐานะเป็นลูกจ้างตามความหมายของบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวงพ.ศ. 2501 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2501 โจทก์ทั้งสี่จึงมีฐานะเป็นพนักงานของจำเลยตั้งแต่วันดังกล่าวโดยผลของกฎหมาย และข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ทั้งสี่ทำงานกับกองไฟฟ้าหลวงเมื่อมีการยุบเลิกกองไฟฟ้าหลวงแล้วก็ทำงานกับจำเลยตลอดมา โจทก์ทั้งสี่จึงมีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่มีกฎหมายจัดตั้งการไฟฟ้านครหลวงตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 ส่วนการที่จำเลยจะดำเนินการเกี่ยวกับวิธีบรรจุโจทก์ทั้งสี่อย่างไรและเมื่อใดนั้น เป็นการกระทำเพื่อให้ถูกต้องตามวิธีการของจำเลยเท่านั้น ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ทั้งสี่ที่มีอยู่ตามบทกฎหมายดังกล่าวนั้นเสียไป ทั้งในข้อบังคับการไฟฟ้านครหลวงว่าด้วยกองทุนเงินบำเหน็จพนักงาน เอกสารหมาย ล.9 อันเป็นข้อบังคับที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินบำเหน็จให้โจทก์ทั้งสี่ หมวดที่ 3 การนับอายุงานข้อ 14 กำหนดว่า “การนับอายุงานของพนักงานเพื่อคำนวณเงินบำเหน็จตามความในข้อ 12 ให้ถือหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้…
(6) สำหรับพนักงานซึ่งเดิมเป็นข้าราชการหรือลูกจ้างกองไฟฟ้าหลวง กรมโยธาเทศบาล และได้รับบรรจุให้ปฏิบัติงานในการไฟฟ้านครหลวงตามความในมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวงพ.ศ. 2501 ติดต่อกันมาจนถึงวันที่พ้นจากตำแหน่งหน้าที่และได้รับบำเหน็จ บำนาญ หรือเงินทดแทนกรณีที่ต้องออกจากราชการเพราะยุบเลิกกองไฟฟ้าหลวง กรมโยธาเทศบาลแล้ว ให้นับอายุงานตั้งแต่วันที่1 สิงหาคม 2501…” โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างของกองไฟฟ้าหลวงกรมโยธาเทศบาลแล้ว ให้นับอายุงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2501…”โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างของกองไฟฟ้าหลวงและได้รับบรรจุให้ปฏิบัติงานในการไฟฟ้านครหลวง โดยได้ทำงานติดต่อกันมาจนถึงวันที่พ้นหน้าที่เพราะเกษียณอายุ การนับอายุงานของโจทก์ทั้งสี่จึงต้องนับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2501 ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของจำเลย
พิพากษายืน.