คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า เรือนที่โจทก์นำยึดมาขายทอดตลาดใช้หนี้ตามคำพิพากษาเป็นของผู้ร้อง ราคา 2,000 บาท ศาลชั้นต้นสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์สั่งว่า คดีมีทุนทรัพย์ 2,000 บาท และเรือนในลักษณะถูกยึดมาขายเช่นคดีนี้ย่อมเป็นสังหาริมทรัพย์ ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์นี้ให้เป็นที่สุด ผู้ร้องฎีกาไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236

ย่อยาว

กรณีนี้ เดิมโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน ๑ แปลง กับเรือน ๑ หลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินนั้น เพื่อขายทอดตลาดใช้หนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าเรือนที่ยึดเป็นของผู้ร้อง ราคา ๒,๐๐๐ บาท ขอให้ปล่อยการยึด
ศาลชั้นต้นฟังว่าเรือนพิพาทเป็นของจำเลย สั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
่ศาลชั้นต้นสั่งว่า เรือนที่ร้องขัดทรัพย์ราคาไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๔ สั่งไม่รับอุทธรณ์
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์สั่งว่า คดีมีทุนทรัพย์ ๒,๐๐๐ บาท เรือนในลักษณะถูกยึดมาขายเช่นนี้ย่อมเป็นสังหาริมทรัพย์ ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๓๖ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งอุทธรณ์นี้ให้เป็นที่สุด ผู้ร้องฎีกาไม่ได้ พิพากษาให้ยกฎีกาผู้ร้อง
(โกวิท ถิระวัฒน์ มณี ชุติวงศ์ ไฉน บุญยก)

Share