คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5283/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ขอให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลังแห่งข้อหาว่าโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวร่วมกันส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีก่อนแล้วโจทก์จำเลยได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินพิพาทดังกล่าวตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข3ขอให้แบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลงดังกล่าวจำเลยให้การว่าหลังจากศาลพิพากษาในคดีก่อนแล้วในวันนั้นโจทก์จำเลยได้ทำความตกลงกันโดยโจทก์ครอบครองที่ดินซีกทางด้านทิศใต้เพราะปลูกบ้านอยู่ก่อนแล้วส่วนจำเลยได้สิทธิครอบครองที่พิพาทซีกด้านทิศเหนือแต่บ้านอีกหลังหนึ่งที่โจทก์อ้างว่าตามข้อตกลงให้จำเลยรื้อถอนออกไปเพราะขวางทางเข้าออกของโจทก์นั้นจำเลยไม่สามารถรื้อได้ขอให้ศาลยกฟ้องประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีว่าโจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทตามข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข3ได้หรือไม่ซึ่งต่างกับคดีก่อนที่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับโจทก์แบ่งแยกที่พิพาทเพราะเป็นเจ้าของร่วมกันหรือไม่ซึ่งศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยมีส่วนในที่พิพาทเท่ากันและพิพากษาให้แบ่งคนละกึ่งหนึ่งฉะนั้นประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยในคดีก่อนกับประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้ไม่ได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดที่ 6732 เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 8 ตารางวา โดยโจทก์และจำเลยรับโอนทางมรดกจากนายสวอง ผดุงชอบ บิดาโจทก์และนางสงวน ผดุงไทย มารดาจำเลยผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิเดิมโจทก์และจำเลยแยกกันครอบครองอย่างเป็นส่วนสัดตลอดมา ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์ขอแบ่งแยกที่ดินออกจากกันอย่างเป็นส่วนสัดตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 765/2535 หมายเลขแดงที่ 960/2535ของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศาลพิพากษาให้แบ่งแยกที่ดินให้ได้คนละกึ่งหนึ่ง ผู้ใดจะได้ทางทิศใดให้โจทก์จำเลยตกลงกันเองหากแบ่งกันไม่ได้ให้ขายที่ดินโดยประมูลกันเอง หากไม่ประมูลกันเองก็ให้ขายทอดตลาดได้เงินสุทธิมาแบ่งกัน คดีถึงที่สุด หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาแล้วโจทก์จำเลยตกลงแบ่งที่ดินกันให้ที่ดินส่วนทิศใต้เป็นของโจทก์ ส่วนทิศเหนือเป็นของจำเลย ครั้นโจทก์และจำเลยไปดำเนินการยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกตามบันทึกข้อตกลงจำเลยกลับไม่ยอมนำชี้แนวเขต โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยไปจัดการแบ่งแยกที่ดินอีกหลายครั้งแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้มีคำพิพากษาให้โจทก์และจำเลยไปจัดการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6732ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งแยกที่ดินฉบับวันที่ 21 ธันวาคม 2535และตามรูปแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 3 งาน 54 ตารางวาเป็นของโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์นำคดีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 960/2535 ของศาลนี้มาฟ้องจำเลยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีก จึงเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 960/2535 ของศาลชั้นต้นจำเลยฟ้องโจทก์ขอให้แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6732 ซึ่งโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โจทก์ให้การว่า โจทก์ไม่ขัดข้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดดังกล่าวให้ได้คนละกึ่งหนึ่งส่วนผู้ใดจะได้ที่ดินทางด้านทิศไหนให้โจทก์จำเลยตกลงกันเองหากแบ่งกันเองไม่ได้ให้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวโดยประมูลราคากันเองหากไม่ประมูลกันเองก็ให้ขายทอดตลาดได้เงินสุทธิจากการขายทอดตลาดเท่าใดให้โจทก์จำเลยแบ่งกันคนละครึ่ง หลังจากนั้นโจทก์กับจำเลยได้บันทึกข้อตกลงแบ่งแยกที่ดินตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3จำเลยไม่ยอมนำชี้แนวเขตที่ตกลงกันเจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่สามารถรังวัดแบ่งแยกได้ โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 6732 ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เห็นว่า ในคดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ขอให้แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6732 โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวร่วมกัน ขอให้บังคับให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีก่อนแล้ว โจทก์จำเลยได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าว ปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3ขอให้แบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลงดังกล่าว จำเลยให้การว่า หลังจากศาลพิพากษาในคดีก่อนแล้วในวันนั้นโจทก์จำเลยได้ทำความตกลงกันโดยโจทก์ครอบครองที่ดินซีกทางด้านทิศใต้เพราะปลูกบ้านอยู่ก่อนแล้วส่วนจำเลยได้สิทธิครอบครองที่พิพาทซีกด้านทิศเหนือ แต่บ้านอีกหลังหนึ่งที่โจทก์อ้างว่าตามข้อตกลงให้จำเลยรื้อถอนออกไปเพราะขวางทางเข้าออกของโจทก์นั้น จำเลยไม่สามารถรื้อได้ขอให้ศาลยกฟ้อง เห็นว่า ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้มีว่าโจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทตามข้อตกลง เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ได้หรือไม่ ซึ่งต่างกับคดีก่อนที่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับโจทก์แบ่งแยกที่พิพาทเพราะเป็นเจ้าของร่วมกันหรือไม่และศาลในคดีก่อนเห็นว่า ตามคำฟ้องและคำให้การไม่ปรากฏว่าโจทก์จำเลยมีส่วนในที่พิพาทคนละเท่าใดต้องถือว่ามีส่วนเท่ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357และพิพากษาให้แบ่งคนละกึ่งหนึ่ง ฉะนั้นประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยในคดีก่อนกับประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้ไม่ได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 แต่ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยต้องแบ่งแยกที่ดินพิพาทตามส่วนสัดและเนื้อที่ตามฟ้องหรือไม่ เพื่อไม่ให้คดีล่าช้าโดยไม่จำเป็น และข้อเท็จจริงในคดีมีเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้แล้วศาลฎีกาเห็นสมควรที่จะวินิจฉัยคดีไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่อีก แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 6732 กันตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.3 จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น ซึ่งตามข้อตกลงดังกล่าวข้อ 1 กำหนดให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ด้านทิศเหนือเนื้อที่ 200 ตารางวา ส่วนโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ด้านทิศใต้ตามบันทึกข้อ 2 และจำเลยต้องไปแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อทำการรังวัดภายใน 15 วัน ค่าใช้จ่ายโจทก์จำเลยออกคนละครึ่งตามข้อ 6
พิพากษากลับ ให้แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6732 โดยให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ด้านทิศเหนือเนื้อที่ 200 ตารางวา ส่วนโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ส่วนที่เหลือด้านทิศใต้ ให้จำเลยไปแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำพิพากษาฉบับนี้ ค่าใช้จ่ายในการรังวัดให้โจทก์จำเลยออกคนละครึ่ง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

Share