คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะโจทก์ที่ 1 เสนอคำฟ้องต่อศาล โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองผู้กระทำละเมิด แม้ภายหลังฟ้องคดีแล้วโจทก์ที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทยกให้โจทก์ที่ 2 อำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 1ที่บริบูรณ์อยู่แล้วยังคงมีผลอยู่ต่อไป ส่วนโจทก์ที่ 2 ผู้รับโอนเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ตามป.วิ.พ. มาตรา 57(2).

ย่อยาว

โจทก์ที่ 1 ฟ้องว่าโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 325 จำเลยทั้งสองสร้างรั้วโดยปักเสาปูนซิเมนต์และกั้นด้วยลวดหนามรุกล้ำที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออกตลอดแนวเป็นเนื้อที่ 5.8 ตารางวา โจทก์บอกกล่าวแล้วขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า สร้างรั้วลงในที่ดินโฉนดเลขที่ 324ของจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นางเผดิมสุข ศรีวิลาศ ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม โดยอ้างว่าได้รับโอนที่ดินโฉนดเลที่ 325 จากโจทก์ที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้เรียกนางเผดิมสุขว่าโจทก์ที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วที่สร้างรุกล้ำออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 325 ของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วที่สร้างรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 325 ของโจทก์ที่ 2
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ขณะที่โจทก์ที่ 1 เสนอคำฟ้องต่อศาล โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 325ตำบลบางยี่ขัน อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ตามภาพถ่ายโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 โจทก์ที่ 1 จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 ได้ แม้ว่าภายหลังฟ้องคดีแล้วโจทก์ที่ 1จดทะเบียนยกให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวของโจทก์ที่ 1 ให้แก่โจทก์ที่ 2 อำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 1 ที่บริบูรณ์อยู่แล้วยังคงมีผลอยู่ต่อไป ส่วนโจทก์ที่ 2 ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากโจทก์ที่ 1เป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) ดังนั้น โจทก์ที่ 1ยังคงมีอำนาจฟ้องต่อไป และศาลอนุญาตให้โจทก์ที่ 2 เข้าเป็นโจทก์ร่วมได้
พิพากษายืน.

Share