แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความอันฝ่าฝืนความจริงทางหนังสือพิมพ์ซึ่งเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดประกอบกันแล้วทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และเคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กำลังวางแผนจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยยอมรับหลักลัทธิคอมมิวนิสต์ การไขข่าวเช่นนี้ ในขณะที่ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและมีพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ใช้บังคับอยู่ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งเป็นที่รังเกียจ ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยจึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์และอาจกระทบถึงทางเจริญหรือทางทำมาหาได้ของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่จำเลยได้ลงแก้ข่าวให้โจทก์ทางหนังสือพิมพ์หลายฉบับติดต่อกันหลายวันอันเป็นการบรรเทาความเสียหายไปส่วนหนึ่งแล้ว ศาลฎีกาจึงกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 50,000 บาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ให้ข่าวลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีจำเลยที่ 3 เป็นบรรณาธิการว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นเท็จทำให้โจทก์เสียหาย ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายสองล้านบาท จำเลยที่ 1ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 2, ที่ 3 ให้การว่าเสนอข่าวโดยสุจริตตามที่จำเลยที่ 1 ให้สัมภาษณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2, ที่ 3 ใช้ค่าเสียหาย 600,000บาทยกฟ้องจำเลยที่ 1 โจทก์และจำเลยที่ 2, ที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2, ที่ 3 ด้วย โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เป็นเจ้าของผู้พิมพ์โฆษณาหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นบรรณาธิการ จำเลยที่ 2 ที่ 3ได้พิมพ์โฆษณาเป็นภาษาอังกฤษตามเอกสารหมาย จ.2 คำแปลตามเอกสารหมาย จ.3 ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 11 กรกฎาคม2524 ของจำเลยที่ 2 ที่โจทก์ฎีกาว่า ข้อความที่จำเลยที่ 2 ที่ 3ได้ลงพิมพ์โฆษณาตามเอกสารหมาย จ.2 และคำแปลเอกสารหมาย จ.3เมื่ออ่านแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าโจทก์เคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกำลังวางแผนจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายโจทก์ยอมรับหลักลัทธิคอมมิวนิสต์เชื่อมั่นในลัทธิมารกซ์ ต้องการนำลัทธินี้มาประยุกต์ ใช้กับประเทศไทย ความจริงโจทก์ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่เคยเป็นผู้ก่อการร้าย ไม่เคยวางแผนจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เป็นการละเมิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า คำแปลตามเอกสารหมาย จ.3 มีข้อความว่า
“อดีต ผู้ก่อการร้ายวางแผนตั้งพรรคลัทธิมารกซ์
อดีต ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ว่า
กลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่เข้ามอบตัวและเคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยวางแผนจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยยอมรับหลักลัทธิคอมมิวนิสต์
นายล้วน เขจรศาสตร์ ผู้ก่อการร้ายที่เข้ามอบตัวและอดีตสมาชิกพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยที่ยุบสลายไปแล้วได้กล่าวแก่บางกอกโพสต์ว่า ได้มีการริเริ่มแผนการโดยอดีต ส.ส. ขอนแก่นนายทองปักษ์ เพียงเกษ ซึ่งได้เข้ามอบตัวต่อกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในเมื่อต้นปีที่แล้ว
คนอื่น ๆ ที่คาดว่าจะช่วยจัดตั้งพรรครวมไปถึงนายประเสริฐทรัพย์สุนทร อดีต กรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ นายนพพรสุวรรณพาณิช นายสมพงษ์ สระกวี นายเทอดภูมิ ใจดี และตัวนายล้วนเอง
นายล้วนกล่าวว่า แม้ว่าผู้แปรพักตร์ เหล่านี้ได้เข้ามอบตัวต่อรัฐบาลแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในหลักลัทธิมารกซ์ และต้องการนำเอาลัทธินี้มาประยุกต์ ใช้กับประเทศไทย
ขณะเดียวกันพลตรีสุดสายได้กล่าวแก่บางกอกโพสต์ว่านายทองปักษ์ มีสิทธิจัดตั้งพรรคเนื่องจากว่าผู้แปรพักตร์เหล่านี้ได้รับการนิรโทษกรรมแล้ว พลตรีสุดสายยังกล่าวอีกว่า แต่การหาสมาชิกให้แก่พรรคเป็นปัญหาของพวกเขาเอง
เขากล่าวว่าผู้แปรพักตร์ เหล่านี้ควรเล่นการเมืองในวิถีประชาธิปไตยตามแบบกฎหมาย ไม่ใช่แบบใต้ดิน
ได้มีพัฒนาการอีกมุมหนึ่ง นั่นคือ พันเอกสมคิด ศรีสังคมอดีตประธานพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย กล่าวว่าเขาจะจดทะเบียนพรรคสังคมประชาธิปไตยในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งมีตัวเขาเป็นผู้นำ และยังมีนายแคล้ว นรปติ อดีต ส.ส.ขอนแก่น เป็นเลขาธิการ นายสุธีภูวพันธ์ เป็นรองหัวหน้าพรรค
พันเอกสมคิดซึ่งออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ไปอิรักเพื่อเข้าร่วมฉลองวันชาติของอิรักตามคำเชิญอย่างเป็นทางการได้กล่าวว่า เขาจะไปเยี่ยมคนงานไทยสี่คนที่ถูกตัดสินประหารชีวิตในคดีฆาตกรรมที่คูเวต”
ข้อความบรรทัดแรกที่ว่า อดีตผู้ก่อการร้ายวางแผนตั้งพรรคลัทธิมารกซ์ เป็นข้อความพาดหัวข่าวด้วยอักษรตัวใหญ่ ข้อความต่อมาเป็นรายละเอียดว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่เข้ามอบตัวและเคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยวางแผนจัดตั้งพรรคการเมือง นายล้วน เขจรศาสตร์ ผู้ก่อการร้ายที่เข้ามอบตัวและอดีตสมาชิกพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยที่ยุบสลายไปแล้วได้กล่าวว่า ได้มีการริเริ่มแผนการโดยอดีต ส.ส.ขอนแก่นนายทองปักษ์ เพียงเกษ ซึ่งได้เข้ามอบตัวต่อกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในเมื่อต้นปีที่แล้ว ข้อความดังกล่าวหมายความว่านายล้วน เขจรศาสตร์และนายทองปักษ์ เพียงเกษ เป็นอดีตผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่เข้ามอบตัว ข้อความต่อไปที่ว่าคนอื่น ๆ ที่คาดว่าจะช่วยจัดตั้งพรรครวมไปถึงนายประเสริฐทรัพย์สุนทร อดีตกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ นายนพพรสุวรรณพาณิช (โจทก์) นายสมพงษ์ สระกวี นายเทอดภูมิ ใจดีและตัวนายล้วนเอง และข้อความต่อไปที่ว่านายล้วนกล่าวว่าแม้ผู้แปรพักตร์ เหล่านี้ได้เข้ามอบตัวต่อรัฐบาลแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในลัทธิมารกซ์และต้องการนำเอาลัทธินี้มาประยุกต์ใช้กับประเทศไทย คำว่าผู้แปรพักตร์ เหล่านี้เมื่อนำไปประกอบข้อความว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่เข้ามอบตัวฯ วางแผนจัดตั้งพรรคการเมืองซึ่งกล่าวในตอนต้นแล้ว หมายถึงนายทองปักษ์ เพียงเกษนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร โจทก์ นายสมพงษ์ สระกวี นายเทิดภูมิใจดี ตามที่กล่าวไว้ในตอนก่อนนั่นเอง เพราะมีชื่อโจทก์รวมอยู่ในกลุ่มด้วย เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดประกอบกันแล้วทำให้เข้าใจได้ว่า โจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์คนหนึ่งและเคยเป็นสมาชิกคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยด้วย วางแผนจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยยอมรับเอาหลักลัทธิคอมมิวนิสต์ โจทก์เป็นผู้ที่ไม่นิยมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และมีพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ใช้บังคับอยู่ การไขข่าวว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งเป็นที่รังเกียจถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป ทำให้โจทก์เสียหาย เทียบตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 237, 238/2514 ระหว่าง นายปรีดี พนมยงค์โจทก์ บริษัทสยามรัฐ จำกัด ที่ 1 กับพวก จำเลย ทั้งจำเลยที่ 2ที่ 3 ก็ยอมรับว่าได้ลงข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ ข้อความที่หมิ่นประมาทเป็นความเท็จ ตามที่ปรากฏในบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ลงชื่อรับรองไว้ จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3ได้ไขข่าวให้แพร่หลายอันฝ่าฝืนต่อความจริง หมิ่นประมาทโจทก์ซึ่งจำเลยที่ 2 ที่ 3 ควรจะรู้ได้ว่าเป็นความเท็จ เพราะข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์ฟังขึ้น และเห็นสมควรวินิจฉัยในเรื่องค่าสินไหมทดแทนไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ซึ่งโจทก์ฎีกาขอค่าเสียหายจำนวน 600,000 บาท ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความที่หมิ่นประมาทว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หรือเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นการหมิ่นประมาทชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์และอาจกระทบถึงทางเจริญหรือทางทำมาหาได้ของโจทก์ได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3ได้ลงข่าวแก้ให้โจทก์ตามข้อความที่โจทก์กำหนดขึ้นในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และหนังสือพิมพ์บางกอกเวิลด์ตามเอกสารหมาย ล.3 ล.4 ล.6 และ ล.7 ติดต่อกันเป็นเวลาถึง 3 วันมีข้อความทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยว่าข้อความที่ลงในหนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ 2 ว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยนั้น ล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้นความจริงโจทก์ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยไม่เคยเชื่อมั่นในหลักลัทธิมารกซ์ ชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์จึงกลับคืนมาบ้างเป็นการบรรเทาความเสียหายไปส่วนหนึ่งแล้วศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์จำนวน 50,000 บาทเทียบตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 197/2522 ระหว่างนายยศ อินทรโกมาลย์สุต โจทก์ ร้อยเอกแพทย์หญิงนิตยา ไชยเพิ่มจำเลย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย