แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาบุกรุก จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าเจ้าของที่ดินคนเดิมให้บิดาจำเลยปลูกบ้านลงในที่ดิน ก่อนตายบิดาจำเลยยกบ้านให้จำเลยและจำเลยอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่เคยย้ายไปที่ใด จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ดังนี้การที่จำเลยคงอยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการอยู่โดยเจ้าใจว่ามีสิทธิที่จะอยู่ได้ ไม่มีเจตนากระทำผิดอาญาฐานบุกรุก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงคงฟังได้ว่าที่ดินที่บิดาจำเลยปลูกบ้านอยู่นั้นเป็นที่ดินที่มีโฉนดที่ดินแล้วคือโฉนดเลขที่ 26088 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีจำเลยได้บ้านมาโดยบิดาจำเลยยกให้ บิดาจำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์อย่างน้อยก็ประมาณ 20 ปีมาแล้ว และจำเลยอยู่ในบ้านหลังนี้มาตลอดไม่เคยย้ายไปที่ใด เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2528โจทก์ซึ่งได้ที่พิพาทจากการยกให้ของมารดาได้บอกให้จำเลยรื้อบ้านของจำเลยออกไปจากที่พิพาท แต่จำเลยไม่ยอมรื้อออกไปปัญหาที่ต้องวินิจฉัยจึงมีว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุกตามฟ้องหรือไม่ ปรากฎว่าจำเลยนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมาโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นของเท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว การที่จำเลยคงอยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการอยู่โดยเข้าใจว่ามีสิทธิที่จะอยู่ได้ กรณีจึงไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดทางอาญาฐานบุกรุก มูลกรณีเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยในทางแพ่ง แม้จำเลยจะเบิกความตอบทนายโจทก์ว่า โจทก์เคยพบจำเลยและขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่พิพาท จำเลยได้เรียกค่ารื้อถอนจำนวน 30,000 บาทก็เป็นเพียงแสดงว่าจำเลยยอมออกไปเมื่อได้เงิน 30,000 บาทเป็นการแลกเปลี่ยน ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยหาเป็นความผิดทางอาญาตามฟ้องไม่”
พิพากษายืน