แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้นำคำให้การซึ่งทนายจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อในคำให้การและในฐานะผู้เรียงและพิมพ์ไว้มายื่นต่อศาล โดยไม่มีใบแต่งทนายความลงลายมือชื่อจำเลยและทนายจำเลยมายื่นต่อศาล ภายในกำหนดเวลายื่นคำให้การ ทนายจำเลยพึ่งยื่นคำร้องแจ้งเหตุบกพร่องต่อศาล พร้อมกับยื่นใบแต่งทนายความภายหลังเมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นคำให้การแล้ว แต่ศาลชั้นต้นก็สั่งรับใบแต่งทนายความไว้พฤติการณ์ดังกล่าวกระทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยได้ตั้งแต่ง ทนายจำเลยในคดีนี้ไว้แล้วจริง แม้ใบแต่งทนายความไม่ได้ยื่นต่อศาลในวันที่จำเลยนำคำให้การมายื่น ศาลก็มีอำนาจที่จะอนุญาตให้แก้ไขจัดทำเสียให้เป็นการถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้แต่งตั้งทนายจำเลยในวันที่ยื่นใบแต่งทนายความแล้วจึงถือว่าจำเลยได้ยื่นคำให้การไว้โดยชอบแล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล จำเลยตั้งโจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ โจทก์ได้ซื้อหุ้นตามคำสั่งของจำเลย 5 ครั้งโดยใช้เงินโจทก์เป็นเงิน 2,904,850 บาท จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยยร้อยละ 13 ต่อปี เป็นเงิน 458,301.70 บาท จำเลยสั่งโจทก์ขายหุ้นจำเลยซึ่งใช้เงินโจทก์ซื้อ 14 ครั้ง เมื่อขายแล้วขาดทุนจำเลยต้องเสียค่าบริการร้อยละ 0.5 ขาดทุนรวมเป็นเงิน 1,539,698.75 บาทหลักทรัพย์ของจำเลยที่สั่งโจทก์ซื้อไว้มูลค่าลดลง จำเลยต้องนำเงินสดหรือหลักทรัพย์มาเกิน เป็นจำนวน 1,539,698.75 บาท โจทก์ให้จำเลยชำระจำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงขายหลักทรัพย์ทั้งหมด นำเงินมาหักชำระหนี้โจทก์ จำเลยยังคงขาดทุนเป็นหนี้โจทก์ รวมเป็นเงิน 4,141,644.40 บาทโจทก์จึงนำหลักทรัพย์อื่นออกขายและหักชำระหนี้ แล้วจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อีก 797,680.17 บาท จำเลยไม่ชำระโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยร้อยละ13 ต่อปี ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 16,478.11 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระ 814,158.28 บาท พร้อมดอกเบี้ย 13 ต่อปีในต้นเงิน 797,680.17บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับ เป็นพฤติการณ์ไม่สุจริตไม่มีอำนาจซื้อขายหลักทรัพย์ การซื้อขายหลักทรัพย์เป็นโมฆะฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์ไม่มีอำนาจขายหลักทรัพย์จำเลย หุ้นบริษัทเจเนอรัลไฟแนนซ์ที่โจทก์ขายจำเลยซื้อเงินสด โจทก์คิดรายการต่าง ๆตามฟ้องไม่ถูกต้อง หลักทรัพย์ที่ขายเป็นของโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาว่า จำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำให้การ เท่ากับจำลยไม่ได้ยื่นคำให้การจะนำข้ออ้างของจำเลยในคำให้การมารับฟังหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้นั้น ปัญหานี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าเดิมจำเลยเป็นผู้นำคำให้การซึ่งนายประวัติเดชะอินทร์ ทนายจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อในคำให้การและในฐานะผู้เรียงและพิมพ์ไว้มายื่นต่อศาลโดยไม่มีใบแต่งทนายความลงลายมือชื่อจำเลยและนายประวัติทนายจำเลยมายื่นต่อศาลภายในกำหนดเวลายื่นคำให้การ นายประวัติทนายจำเลยเพิ่งยื่นคำร้องแจ้งเหตุบกพร่องต่อศาลพร้อมกับยื่นใบแต่งทนายความภายหลังเมื่อพันกำหนดเวลายื่นคำให้การแล้ว แต่ศาลชั้นต้นก็สั่งรับใบแต่งทนายความไว้ โจทก์ได้คัดค้านมาแต่ต้นพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุผลซึ่งกระทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยได้ตั้งแต่นายประวัติเป็นทนายความของจำเลยในคดีนี้ไว้แล้วจริง เมื่อปรากฏว่าใบแต่งทนายความสำหรับนายประวัติไม่ได้ยื่นต่อศาลในวันที่จำเลยนำคำให้การดังกล่าวมายื่น ศาลก็มีอำนาจที่จะอนุญาตให้แก้ไขจัดทำเสียให้เป็นการถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 และปรากฏว่าจำเลยได้ตั้งแต่งนายประวัติเป็นทนายจำเลยในวันที่ยื่นใบแต่งทนายความแล้วศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ยื่นคำให้การไว้โดยชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…”
พิพากษายืน.