แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทุนทรัพย์ที่พิพาทในศาลชั้นต้น คือ จำนวนเงินที่โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้ การพิจารณาว่าคดีใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่จะต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการยื่นอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นเงินจำนวน 605,830.57 บาทศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้บางส่วนเป็นเงิน590,531.61 บาท โจทก์อุทธรณ์คำสั่งขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้เพิ่มขึ้นอีก11,798.96 บาท คดีนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในศาลชั้นต้นมีจำนวนเกินกว่าสองหมื่นบาท คดีโจทก์จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองไว้เด็ดขาดแล้วต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจำนวน 605,830.57บาท จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นว่า ควรให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง จำนวน 590,531.61บาท ตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483ส่วนที่เกินมาให้ยกเสีย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว อนุญาตให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่และโจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้เพิ่มหรือไม่ สำหรับปัญหาว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่นั้น โจทก์ฎีกาว่าคดีนี้พิพาทกันด้วยเรื่องคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ไม่ใช่คดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังจะเห็นได้จากค่าขึ้นศาลในชั้นคำขอรับชำระหนี้ก็ได้มีบัญญัติไว้เป็นพิเศษใน มาตรา 179 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483แล้ว คดีของโจทก์จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีพิพาทกันในชั้นขอรับชำระหนี้ กล่าวคือโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นเงินจำนวน 605,830.57 บาท แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้เพียงบางส่วนเป็นเงิน 590,531.61 บาท ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นโดยให้โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้เพิ่มขึ้นอีกเป็นเงิน 11,798.96 บาท คดีนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือที่เรียกว่าคดีมีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ในศาลชั้นต้นก็คือจำนวนเงิน 605,830.57บาท ตามที่โจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ส่วนจำนวนเงิน 11,798.96บาท ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ได้รับชำระหนี้เพิ่มนั้นก็เป็นทุนทรัพย์ในชั้นศาลอุทธรณ์ อย่างไรก็ตามการที่จะพิจารณาว่าคดีใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่จะต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการยื่นอุทธรณ์ ดังนี้ แม้คดีนี้จะมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224ที่แก้ไขใหม่ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2534 ก็ตามแต่ปรากฏว่าคดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2534ซึ่งเป็นวันเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ยังไม่มีผลใช้บังคับ โจทก์จะอุทธรณ์คดีนี้ได้หรือไม่จึงต้องพิจารณาตามกฎหมายเดิมก่อนที่จะมีการแก้ไขและเมื่อได้ความว่าจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นมีจำนวนเกินกว่าสองหมื่นบาทคดีของโจทก์จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น สำหรับปัญหาข้อสุดท้ายที่ว่าโจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้เพิ่มหรือไม่นั้น เห็นว่า ปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเสียก่อนเนื่องจากผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจเกี่ยวโยงไปถึงสิทธิในการฎีกาคดีนี้ต่อไปอีก
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดี