แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำสั่งศาลไม่ขยายเวลาให้โจทก์คัดสำเนาเอกสารหรือไม่เลื่อนการพิพากษาคดีไปเป็นการตัดพยานโจทก์เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อโจทก์มีเวลาพอที่จะโต้แย้งคำสั่งแต่มิได้โต้แย้งไว้จึงต้องห้ามอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว โจทก์เป็นผู้โดยสารในรถยนต์คันที่ชนกับรถบรรทุกที่จำเลยที่1ขับโจทก์ฟ้องว่าเหตุละเมิดเกิดจากความประมาทของฝ่ายจำเลยแต่จำเลยให้การปฏิเสธในข้อนี้โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างหน้าที่นำสืบตกแก่โจทก์โจทก์จึงต้องนำสืบข้อเท็จจริงให้ศาลเห็นตามข้อกล่าวอ้างของตน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์โดยสารไปกับรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียนรบ-05504 แล้วรถโดยสารดังกล่าวชนกับรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันหมายเลขทะเบียน รย – 16133 ของจำเลยที่ 2 มีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับขี่และเอาประกันภัยไวักับจำเลยที่ 3 เหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และ ที่ 3 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 1 โจทก์ขอถอนฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ยืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อแรกที่โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้โดยไม่ขยายระยะเวลาให้โจทก์คัดสำเนาเอกสารที่โจทก์ประสงค์จะอ้างจากสำนวนอื่นเข้าสู่สำนวนนี้ก่อนเป็นการไม่ชอบนั้น ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 18 พฤศจิกายน2524 โจทก์แถลงว่าหมดพยานบุคคลและศาลมีคำสั่งให้โจทก์คัดสำเนาเอกสารที่โจทก์ประสงค์จะอ้างตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมลงวันที่ 18พฤศจิกายน 2524 มาส่งศาล แต่โจทก์เพิกเฉย วันที่ 28 ธันวาคม2524 ศาลมีคำสั่งเตือนให้โจทก์คัดสำเนาเอกสารมมาส่งศาลภายใน15 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าไม่ติดใจอ้างเอกสารดังกล่าว จนถึงวันที่18 กุมภาพันธ์ 2525 โจทก์แถลงต่อศาลว่ายังไม่สามารถคัดสำเนาเอกสารได้ เพราะเอกสารยังมิได้เข้าสู่สำนวนอื่นตามที่ได้ระบุพยานเพิ่มเติมไว้ ขอขยายระยะเวลาการคัดสำเนาเอกสารต่อไปอีก ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาไป 1 เดือน วันที่ 27 สิงหาคม 2525 โจทก์แถลงขอขยายระยะเวลาการคัดสำเนาเอกสารอีก โดยอ้างเหตุผลเช่นเดียวกับคำแถลงฉบับก่อน ศาลสั่งให้โจทก์แถลงรายละเอียดของเอกสารที่โจทก์ประสงค์จะอ้าง ในวันเดียวกันนั้นศาลนัดฟังประเด็นกลับแต่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดมาศาล ศาลนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 27 กันยายน 2525โจทก์ทราบนัดเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2525 ต่อมาวันที่ 24 กันยายน2525 โจทก์แถลงขอให้เลื่อนการพิพากษาคดีไปจนกว่าจะได้เอกสารตามที่โจทก์อ้าง ศาลสั่งไม่อนุญาต แล้วพิพากษาคดีไปตามวันเวลาที่กำหนด ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ขยายเวลาให้โจทก์คัดสำเนาเอกสารหรือไม่เลื่อนการพิพากษาคดีไปเป็นการตัดพยานโจทก์ซึ่งเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา และโจทก์มีเวลาพอที่จะโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวได้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแต่โจทก์ก็มิได้โต้แย้งไว้ โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว
ประเด็นต่อไปที่ต้องวินิจฉัยว่า เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นข้อนี้โจทก์เป็นฝ่ายที่กล่าวอ้าง ซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธหน้าที่นำสืบจึงตกอยู่แก่โจทก์ โจทก์นำประจักษ์พยานเข้าเบิกความเพียงคนเดียวคือนายวิสิษฐ์ซึ่งเบิกความว่า เหตุที่รถชนกันเนื่องจากรถจำเกันเนื่องจากรถจำเลยที่ 2 แล่นล้ำเข้าไปในทางเดินรถของรถยนต์โดยสารประมาณ 1 ศอก และแม้โจทก์จะส่งแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมายป.จ.1 ต่อศาลประกอบการถามค้านนายสายพยานจำเลยที่ 2 และที่ 3จุดชนตามแผนที่เกิดเหตุดังกล่าวก็มีอยู่ถึง 3 จุด ทั้งโจทก์ไม่มีพยานบุคคลมาสืบประกอบแผนที่เกิดเหตุ และจุดชนที่นายสายนำชี้ไว้ก็อยู่กลางสะพาน พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบยังฟังไม่ได้ว่าเหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ฉะนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นต่อไป ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.