แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493มุ่งคุ้มครองผู้เช่านาผู้อื่น ทำให้มีสิทธิเช่าทำได้ติดต่อกันไปมีกำหนด 5 ปีนับแต่วันประกาศพระราชกฤษฎีกาให้พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับในกรณีตามอนุมาตรา (1) หรือนับแต่วันทำสัญญาเช่าในกรณีตามอนุมาตรา (2) การที่จะพิจารณาวินิจฉัยว่า การเช่ารายใดจะได้รับความคุ้มครองตามมาตรานี้หรือไม่ ต้องพิจารณาว่าการเช่ารายนั้นได้ทำสัญญาเช่ากันมาตั้งแต่เมื่อใดเกิน 5 ปีตามสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองแล้วหรือไม่ จะถือเอาหนังสือสัญญาเช่าฉบับใดฉบับหนึ่งที่ทำกันไว้เป็นเกณฑ์พิจารณาแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ จำเลยได้ทำสัญญาเช่าทำนาพิพาทกับโจทก์เป็นรายปีทุกปีติดต่อกันมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 ถึงปีพ.ศ. 2514 ระยะเวลากว่า 5 ปีแล้ว จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองให้มีสิทธิเช่าต่อได้อีกต่อไป มิใช่ว่าเมื่อจำเลยประสงค์จะเช่าต่อไปแล้ว สัญญาเช่าฉบับที่ทำกันเมื่อ พ.ศ. 2514 นั้นยังมีอายุต่อไปอีก 5 ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2514 จำเลยได้เช่านาโฉนดเลขที่ 918 ค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกไร่ละ 4 ถังต่อปี สัญญาเช่ามีกำหนดถึงวันที่ 31 มีนาคม 2515 จำเลยเช่านาทำติดต่อกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2508 โจทก์ไม่ประสงค์จะให้เช่าทำต่อไป ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2515 จำเลยทราบแล้วกลับละเมิดเข้าไปทำนา ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 918
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคู่กรณียังไม่ได้เสนอเรื่องข้อพิพาทตามความในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. 2493 แม้สัญญาเช่าตามฟ้องหมดอายุ จำเลยก็ยังมีสิทธิเช่าทำอีก 4 ปี ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพร้อม คู่ความท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่าจำเลยจะมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. 2493 ต่อไปอีก 4 ปีหรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาอีกต่อไป พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นาพิพาทอยู่ในท้องที่และตกอยู่ในบังคับใช้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 มาตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2494 จำเลยได้ทำสัญญาเช่านาพิพาทกับโจทก์หลังพระราชบัญญัติดังกล่าวบังคับใช้ กล่าวคือ ได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์เป็นรายปีทุกปีมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2508 ติดต่อกันจนถึง พ.ศ. 2514 เป็นเวลาเกินกว่า 5 ปีแล้ว มีปัญหาว่า จำเลยยังจะได้รับความคุ้มครองให้เช่าได้ต่อไปอีกหรือไม่ บทบัญญัติที่เกี่ยวกับข้อโต้แย้งของคู่ความคือมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อได้มีพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ในท้องที่ใดแล้ว
(1) สัญญาเช่านารายใดซึ่งได้ทำไว้ก่อนวันประกาศพระราชกฤษฎีกาไม่มีกำหนดเวลา หรือมีกำหนดเวลาแต่ต่ำกว่าห้าปี ถ้าผู้เช่าประสงค์จะเช่าต่อไป ให้สัญญาเช่ารายนั้นมีอายุต่อไปได้ไม่เกินห้าปีนับแต่วันประกาศพระราชกฤษฎีกา
(2) สัญญาเช่านารายใดซึ่งได้ทำไว้ในหรือหลังวันประกาศ ถ้าผู้เช่าประสงค์ ก็ให้สัญญาเช่ารายนั้นมีอายุไม่เกินห้าปีนับแต่ผู้เช่าประสงค์ ก็ให้สัญญาเช่ารายนั้นมีอายุไม่เกินห้าปีนับแต่วันทำสัญญา”
พิเคราะห์แล้ว บทบัญญัติมาตรา 9 นี้ มุ่งคุ้มครองผู้เช่านาบุคคลอื่นทำ ให้มีสิทธิเช่าทำได้ติดต่อกันไปมีกำหนด 5 ปี นับแต่วันประกาศพระราชกฤษฎีกาให้พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับในกรณีตามอนุมาตรา (1) หรือนับแต่วันทำสัญญาเช่าในกรณีตามอนุมาตรา (2) กำหนดเวลาที่คุ้มครองให้มีสิทธิเช่าในรายที่ทำสัญญาเช่ากันไม่ถึง 5 ปี ให้เช่าต่อไปได้จนครบ 5 ปี ทุกรายไปการคุ้มครองนี้ คุ้มครองตลอดจนรายที่ไม่ได้ทำหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือด้วย ดังนั้น การที่จะพิจารณาวินิจฉัยว่าการเช่ารายใดจะได้รับความคุ้มครองตามมาตรานี้หรือไม่ จึงต้องพิจารณาว่าการเช่ารายนั้นได้ทำสัญญาเช่ากันมาตั้งแต่เมื่อใด เกิน 5 ปี ตามสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองแล้วหรือไม่ จะถือเพียงหนังสือสัญญาเช่าฉบับใดฉบับหนึ่งที่ทำกันไว้เป็นเกณฑ์พิจารณาแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ไม่ต้องด้วยวัตถุประสงค์ที่มุ่งคุ้มครอง เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ จำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์เป็นรายปีทุกปีติดต่อกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 ถึงปี พ.ศ. 2514 ระยะเวลากว่า 5 ปีแล้วเช่นนี้ จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองให้มีสิทธิเช่าต่อได้อีกต่อไป คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ เป็นให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสามศาลเป็นพับกันไป