คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 527/2482

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทำสัญญาซื้อขายทรัพย์สินกันโดยให้ผู้ซื้อเอาเงินราคา+ซื้อนั้นไปชำระหนี้บุคคลภายนอกแทนผู้ขาย เมื่อผู้ซื้อเอาราคาค่าซื้อไปชำระหนี้แล้ว ยังเหลืออยู่อีกเท่าไร เมื่อมิได้มีข้อสัญญาเป็นอย่างอื่น ผู้ซื้อต้องมอบเงินที่เหลือให้ผู้ขายไป
ประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม.93,177,
โจทก์ฟ้องและระบุถึงรายการตามบัญชีท้ายฟ้องฝ่ายจำเลยมิได้ปฏิเสธรายการนั้น ศาลรับฟังรายการนั้นได้ แม้โจทก์มิได้ส่งต้นฉะบับรายการนั้นต่อศาล

ย่อยาว

เดิมโจทก์ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย โจทก์ได้ร้องขอตกลงหนี้โดยยอมชำระหนี้ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันแล้วโจทก์ทำสัญญาขายทรัพย์ของตนให้จำเลยเป็นราคา ๔๓,๗๗๑ บาท เพื่อให้จำเลยเอาเงินนั้นไปชำระหนี้ตามที่ขอตกลงแทนโจทก์ จำเลยได้ชำระหนี้ไปเพียง ๔๒,๐๑๔ บาท ๑๖ สตางค์ เพื่อหักกับราคาทรัพย์ที่ขายให้จำเลยแล้ว เงินยังค้างอยู่ที่จำเลยอีก ๑๗๕๖ บาท ๘๔ สตางค์ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจำนวนนี้
ศาลฎีกาตัดสินว่าคดีเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องลาภมิควรได้ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ๑ ปี ดังข้อตัดฟ้องของจำเลย สัญญาซื้อขายรายพิพาทนี้เป็นการซื้อขายธรรมดา บอกจำนวนทรัพย์และราคาซื้อขายไว้อย่างชัดเจนไม่ใช่เป็นการขายเหมาดังฎีกาจำเลย ฉะนั้นเมื่อจำเลยนำเงินของโจทก์ไปชำระหนี้แทนโจทก์ยังเหลืออีกเท่าไรก็มีหน้าที่คืนให้โจทก์ที่จำเลยฎีกาว่าศาลไม่ควรรับฟังบัญชีท้ายฟ้อง เพราะโจทก์ไม่ส่งต้นฉะบับนั้นเมื่อจำเลยมิได้โต้เถียงรายการนี้ในคำให้การว่าผิดถูกอย่างไรแล้ว ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้ส่งต้นฉะบับต่อศาล ๆ ก็รับฟังได้ จึงพิพากษายืนตามศาลล่างทั้ง ๒ ให้จำเลยใช้เงินที่ฟ้องให้โจทก์

Share