คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5263/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะ เนื่องจากจำเลยสำคัญผิดว่าโจทก์เป็นผู้แทนเจ้าหนี้รายหนึ่งของบริษัท ส. ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยแต่แท้จริงแล้วโจทก์ไม่ใช่ผู้แทนเจ้าหนี้ดังกล่าว อันเป็นการกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมไม่มีผลผูกพันคู่ความ เพราะจำเลยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมขอให้พิพากษาว่าสัญญากู้ยืมเงินเป็นโมฆะ ดังนี้ หากความจริงเป็นดังที่จำเลยต่อสู้โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์มิได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2541 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 2,600,000 บาท ตกลงผ่อนชำระต้นเงินคืนให้โจทก์เป็น 4 งวด งวดแรกวันที่21 เมษายน 2541 งวดที่สอง วันที่ 21 กรกฎาคม 2541 งวดที่สาม วันที่ 21 ตุลาคม 2541และงวดสุดท้ายวันที่ 21 ธันวาคม 2541 หลังจากกู้ยืมเงินไปแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 3,022,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 2,600,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ เหตุที่จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินเนื่องจากโจทก์ปกปิดความจริงโดยแอบอ้างว่า โจทก์เป็นผู้แทนเจ้าหนี้รายหนึ่งของบริษัทสตาร์เล็ตพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งจำเลยเคยทำสัญญากู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้ดังกล่าวแทนบริษัทสตาร์เล็ตพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน 3,000,000 บาท เป็นเหตุให้จำเลยหลงเชื่อยอมทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตามฟ้อง โดยยกเลิกสัญญากู้ยืมเงินจำนวน3,000,000 บาทเสีย และสั่งจ่ายเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาบางแสน ให้แก่โจทก์ 4 ฉบับ ฉบับละ 650,000 บาท ทั้งที่โจทก์มิได้เป็นผู้แทนของเจ้าหนี้ดังกล่าวอันเป็นการแสดงเจตนาด้วยความสำคัญผิดในตัวบุคคล ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญากู้ยืมเงินตกเป็นโมฆะ ไม่มีมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและเช็คทั้งสี่ฉบับ ขอให้พิพากษาว่าสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 21 มกราคม 2541 ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ให้โจทก์ส่งมอบเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาบางแสนหมายเลข 8626648, 8626649, 8626650 และ 8626651 คืนแก่จำเลย

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การ ส่วนฟ้องแย้งไม่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้ง

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฟ้องแย้ง

ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้นั้น เห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า สัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะ เนื่องจากจำเลยสำคัญผิดว่าโจทก์เป็นผู้แทนเจ้าหนี้รายหนึ่งของบริษัทสตาร์เล็ตพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยแต่แท้จริงแล้วโจทก์ไม่ใช่ผู้แทนเจ้าหนี้ดังกล่าว อันเป็นการกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมไม่มีผลผูกพันคู่ความเพราะจำเลยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม หากความจริงเป็นดังที่จำเลย ต่อสู้โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์มิได้ และต้องคืนเช็คทั้ง 4 ฉบับให้แก่จำเลยด้วย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้ง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้รับฟ้องแย้ง

Share