คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5256/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาในความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 อันทำให้การกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2499 และ ป.อ. มาตรา 138 วรรคสอง, 289 (2) ประกอบมาตรา 80, 83 เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ และ ป.อ. มาตรา 138 วรรคสอง, 289 (2) ประกอบมาตรา 80, 83 แล้วพิพากษาแก้ให้บังคับคดีจำเลยที่ 2 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 25 ปี ถือว่าจำเลยที่ 2 ฎีกาคดีนี้และศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2 แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 2 ฟังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2552 คดีของจำเลยที่ 2 จึงถึงที่สุดในวันดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 25 ปี ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกา ระบุในหมายว่า คดีถึงที่สุดวันที่ 7 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 2 ฟัง
วันที่ 3 สิงหาคม 2558 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง ร่วมกันพาอาวุธปืน ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้อาวุธ และร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษเท่านั้น ยกฟ้องความผิดฐานอื่น โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดทุกข้อหาตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 คงมีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น ความผิดที่จำเลยที่ 2 ถูกลงโทษ คือ ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษาแล้วไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาเกี่ยวกับความผิดนี้อีก จึงควรต้องถือว่าความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษของจำเลยที่ 2 ได้ถึงที่สุดไปตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้จำเลยที่ 2 ฟังแล้ว ที่ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดโดยระบุว่า คดีถึงที่สุดวันที่ 7 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 2 ฟังนั้น จึงไม่ถูกต้อง ขอให้แก้ไขวันคดีถึงที่สุดเป็นวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้จำเลยที่ 2 ฟัง
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้ว เห็นว่า การออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดชอบแล้ว ไม่มีเหตุเพิกถอน ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า คดีของจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดเมื่อใด เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ซึ่งนำมาใช้แก่คดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 บัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ซึ่งอาจอุทธรณ์ฎีกา หรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้นั้น ถ้ามิได้อุทธรณ์ ฎีกาหรือร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในเวลาที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลง ถ้าได้มีอุทธรณ์ฎีกา หรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาหรือศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาคดีเรื่องนั้นใหม่ มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 132 คำพิพากษาหรือคำสั่งเช่นว่านั้นให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่วันที่มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ” คดีนี้แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาในความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 อันทำให้การกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, 289 (2) ประกอบมาตรา 80, 83 เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, 289 (2) ประกอบมาตรา 80, 83 แล้ว พิพากษาแก้ให้บังคับคดีจำเลยที่ 2 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในความผิดข้อหาจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 25 ปี ถือว่าจำเลยที่ 2 ฎีกาคดีนี้และศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2 แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 2 ฟังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2552 คดีของจำเลยที่ 2 จึงถึงที่สุดในวันดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share